Stock : การอ่านงบการเงิน : EP15

การอ่านงบการเงิน
- งบการเงิน คือภาษาธุรกิจ
- งบ จะเป็นตัวบอกว่าธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร

-----------------------------------------------------------------------------
งบดุล
- งบดุล คือ จำนวนเงินทั้งหมดที่บริษัทซื้อมา เทียบกับ หนี้สิน
Ex ของในการเป๋าเป้ (กระเป๋าตัง มือถือ , ..... บวกกัน)
-- จะบอกได้ว่า บริษัทมีอะไร ซื้อมาเท่าไหร่ เป็นหนี้เท่าไหร่
-- หนี้น้อย บอกได้ว่าเป็นหนี้น้อยจ่ายคืนง่าย เมื่อเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมด
-- จะรู้ว่าใครมีหนี้มากหนี้น้อย เทียบกับสิ่งของที่เขามี >> ถ้าน้อยกว่าครึ่งก็น้อย ถ้ามากกว่าครึ่งก็มาก
* หนี้มากเสี่ยง
## สินทรัพย์รวม = เงินในกระเป๋าทั้งหมด (เงินบริษัท)
## หนี้สินรวม = เงินที่เป็นหนี้ทั้งหมด
## ส่วนของผู้ถือหุ้น = เงินที่เหลือหลังจากชำระหนี้
-- สินทรัพย์รวม = หนี้สินรวม + ส่วนของผู้ถือหุ้น
-- หนี้สินรวม >  ส่วนของผู้ถือหุ้น = เสี่ยงมาก
-- ส่วนของผู้ถือหุ้น > หนี้สินรวม = เสี่ยงน้อย

แต่ >> [ถ้าหนี้ < ทุนดูต่อที่งบการเงิน  >>  ถ้าหนี้เป็นเงินกู้ = เสี่ยง]
- บางทีหนี้สินเยอะ แต่อาจไม่เสี่ยงเสมอไป >> เนื่องจากเป็นหนี้ที่เกิดจากการฝากขาย
- หนี้ที่เกิดจากการฝากขาย สามารถนำส่วนนี้ไปคืนต้นทางได้
# หนี้ที่เกิดจากการฝากขาย = เจ้าหนี้การค้า และเจ้าหนี้อื่น
- บริษัทที่เจ้าหนี้ทางการค้ามาก >> มีอำนาจการต่อรองสูง [เจ้าใหญ่]

มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ? >> แปลว่าไส่ตังเข้าไปเท่าไหร่
- ถ้าเลขเท่าเดิมเรื่อยๆ แปลว่าดี >> บริษัทเติมโตได้เอง
Ex บริษัท ลงเงินลงทุน 100 ล้าน >> ผ่านไป 10 ปี >> บริษัทโตขึ้น จากเงินลงทุนเท่าเดิม
- บริษัทไหนขอตังเพิ่ม = ไม่ดี
- เอาไว้ตรวจว่างบดุลว่า มีอะไรตุกติกไหม >> ธุรกิจโตจริงโตหลอก ?
Ex บริษัทที่โตหลอก >> เพิ่มมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ไป + กับทุน
- ถ้าตัวเลขมูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ลดลง ดีไหม ? >> ไม่ค่อยดี เพราะมีเงินเหลือไม่รู้เอาไปทำไร >>
เลยแจกคืน >> บริษัทไม่สามารถขยายตัวได้
* มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว เท่าเดิม = ดีสุด
* มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว เพิ่มขึ้น แบ่งเป็น แย่นิด ,แย่มาก ,แย่สุดๆ
* มูลค่าหุ้นที่เรียกชำระแล้ว ลดลง พอรับได้ ปนไปทางแย่

-----------------------------------------------------------------------------
งบกำไรขาดทุน
- เป็นงบที่แต่งง่ายที่สุด ,หลอกง่ายที่สุด ,เชื่อได้น้อยที่สุด ,คนสนใจมากที่สุด

# รายรับ = ยอดขาย >> รายได้รวม
# รายจ่าย = ค่าใช้จ่าย
# เหลือ = กำไรสุทธิ
## ถ้าเหลือ = กำไร (ถ้าเหลือ เยอะ >> กำไรเยอะ)
- ถ้าเหลือมากกว่ารายรับ  10% ถือว่าดี น่าสนใจ
- ในเวปคำนวณมากให้แล้ว คือ อัตรากำไรสุทธิ
- เป็นตัวที่บอกว่า บริษัทมีกำไรไป พัฒนาบริษัท

- เราสามารถนำกำไรไปเทียบกับทุนได้ (เป็นตัววัดที่เจ๋ง)
-- เพราะในชีวิตจริงเราใช้วัดได้หลายอย่าง
Ex เงินฝากธนาคาร ทุนที่ใช้ในธุรกิจส่วนตัวกับกำไร
-- มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ผลตอบแทนต่อเงินลงทุน"
# กำไร = ผลตอบแทน = Return
# ทุน = เงินลงทุน = Equity
>> Return on Eauity = ROE
* ROE น้อยกว่า 3% >> กระจอก [เอาเงินไปซื้อพันธบัตรดีกว่า]
* ROE มากกว่า 10%[มากกว่าค่าเฉลี่ย]
* ROE มากกว่า 15% [ดีเยี่ยม]

## อีกมุมมองคือ เราสามารถมอง ROE เป็นเงินฝากได้
- เงินฝากที่ดี ควรมีความสม่ำเสมอ และมากขึ้นเรื่อยๆ
- เงินฝากที่ไม่ดี คือ เงินฝากที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นๆลงๆ

-----------------------------------------------------------------------------
* พยามให้มอง ผลตอบแทนที่ได้เป็น % กลับในตลาดหุ้นหลังจากลงทุน
- เงินที่ลงทุนไป X ผลตอบแทนที่ ได้ Y >> X/Y = %ลงการลงทุน
ถ้าอะไรที่ลงทุนไปแล้วไม่คุ้มก็ไม่ควรลงทุน
Ex บริษัท ขายกล้วยทอด ทุน 360,000 กำไร 36,000 ต่อไป >> = 10 ปีคืนทุน หรือ10%
- ธุรกิจบางธุรกิจ ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าเงินฝากธนาคาร (1%)
- สามารถนำสูตรนี้ไป คำนวณกับการลงทุนอื่นๆได้(อสังหาริมทรัพย์)
คนส่วนมากมักซื้อธุรกิจที่ราคาแพง
- ธุรกิจ ราคายุติธรรม >> 3.6 ล้าน >> ไม่สนใจ
- ธุรกิจ ลดกระหน่ำ >> 1.8 ล้าน >> ไปไกลๆ
- ธุรกิจอะไรไม่รู้ ราคากำลังขึ่น >>7.2 ล้าน >> เอามาเลย

P / E (Price / Earning)
- P = เงินที่ลงทุน (ซื้อธุรกิจราคา) = Price (มูลค่าตามตลาด Market Cap)
- E = กำไรต่อปี = Earning
# เป็นตัวบ่งบอกว่า ที่ราคาตลาดตอนนี้  เป็นกี่เท่าของกำไรที่บริษัททำได้
- อาจคิดเป็นผลตอบแทนต่อปีก็ได้ (คล้ายๆดอกเบี้ย)
>> ราคาตลาดปัจจุบัน กำไรอีกกี่ปีจึงเท่ากับทุน

* P/E ต่ำๆ บางทีดูเหมือนดู (กำไรต่อปี เกือบเท่าบริษัท)
บางทีอาจเป็นบริษัทที่กำลังจะเจ้งก็ได้ (ผ่านไป 1 ปี กำไรติดลบ)
ความหมายของ P/E
- กำไรโตมาก >> เซียน
- กำไรโต >> ซื้อถูก
- กำไรไม่โต ใช้ได้ >> ซื้อมาถูก
- กำไรลดลง >> เจ็บน้อย
- เจ๊ง >> ซวย
* P/E สูง อาจมีความหมายได้หลายทาง
- กำไรโตมาก
- กำไรโต >> อาจซื้อได้นิดเดียวเพราะแพง
- กำไรไม่โต >> ซวย
- กำไรลด >> ซวย
# P/E บอกระยะเวลาคืนทุน เราต้องเข้าใจธุรกิจจึงจะตอบได้

- กราฟทางเทคนิค จะเป็นตัวบอกให้เราซื้อในราคาที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
- 4 , 5 , 6 , 7 ล้าน (เทรนขาขึ้น แล้วย่อตัว) >> โดยไม่สนราคา 3 , 2 , 1 ล้าน

-----------------------------------------------------------------------------
* การหาหุ้นถูกไม่มีสูตร
- หามูลค่ากิจการ >> เปรียบเทียบราคา >> ไปซื้อราคาที่ต่ำกว่ามากๆ >> 30% 50%
- กิจการไม่ดี >> อาจเป็นการลงทุนที่ดี ในราคาถูก

วิธีที่ 1 การวิเคราะห์หามูลค่ากิจการ
- ประเมินกำไรในอนาคต
-- ประเมินกำไรในอนาคต อีก 10 ปี
--- 700 > 800 > 900 > ประเมินคร่าวๆ 10 ปี 1000 > 1100 นำรายได้ทั้งหมดมารวมกัน X
- ดูมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด >> Y
- ถ้า Y มากกว่า X >> ไม่ซื้อ >> เพราะแพง (เป็นธุรกิจที่ดีแต่ขายแพง)
# การประเมินแบบนี้ใช้ได้ไม่กี่บริษัท ต้องเป็น เป็นบริษัทที่มีความเสี่ยงต่ำ กำไรสม่ำเสมอ
บริษัทส่วนมากกำไรไรขึ้นๆ ลงๆ

ลำดับความน่าสนใจ
วิเศษ
- ธุรกิจดี ราคาถูก
- ธุรกิจดี ราคายุติธรรม
- ธุรกิจงั้นๆ ราคาโคตรถูก
พอใช้
- ธุรกิจดี ราคาแพง
- ธุรกิจงั้น ราคากลางๆ
- ธุรกิจห่วย ราคาถูกมากๆ
กาก
- ธุรกิจงั้น ราคาแพง
- ธุรกิจห่วย ราคากลาง
- ธุรกิจห่วย ราคาแพง

วิธีที่ 2 การประเมินธุรกิจเหมือนกำลังจะเจ้ง
- เปิดดูงบว่ามีทรัพย์สินอะไรบ้าง
- ตีราคาแต่ละรายการ (Ex ตีราคาตู้เย็นเป็น เศษเหล็ก)
- หักหนี้สินทั้งหมดออก
- ได้มูลค่าซาก
- นำไปเทียบกับมูลค่า ตามราคาตลาด

-----------------------------------------------------------------------------
มูลค่าตามบัญชี (BV)
- สมบัติในกิจการ เรียกว่า สินทรัพย์
- ส่วนที่ยืมมากเรียกหนี้สิน
- สินทรัพย์ หักนี้สินออก เรียกว่าส่วนที่เป็นเจ้าของ (มูลค่าตามบัญชี)
# P/BV = ราคาทั้งบริษัทแพงกว่าราคาในบัญชี กี่เท่า ?
- P/BV น้อยกว่า 1 = เราซื้อได้ต่ำกว่าทรัพย์สินในบัญชี
* บางบริษัทที่ P/BV น้อยกว่า 1 เพราะบริหารไม่ดี หรือ มีข่าวผู้บริหารคตโกง
วิธีหาข่าวผู้บริหารคตโกง คือ นำนามสกุลผู้ถือหุ้นหลัก ไปค้นใน Google

"ไม่ว่าข้อตกลงดูดีแต่ไหน อย่าทำธุรกิจกับคนไมดี"

-----------------------------------------------------------------------------
อัตราเงินปันผลตอบแทน (%)
- เป็นตัวบอกว่าเราได้เงินปันผลประมาณเท่าไหร่
- สามารถนำตัวเลขเงินปันผลไปคุณ กับ ราคาล่าสุดได้ หน่วยเป็นจำนวน บาท
- เป็นเงินที่บริษัท กำไร แล้วมาจ่าย
-- กำไรสามารถ นำไปขยายกิจการได้ (จะเพิ่มในช่องทุน)
-- กำไรสามารถ นำไปจ่ายปันผลได้
- อีกทางเลือกคือ บริษัทนำเงินไปซื้อหุ้นคืน (ทำให่หุ้นในตลาดมีน้อย ตัวหารมีน้อย)

ถ้าบริษัทที่มีผลตอบแทนต่ำ (ROE น้อยกว่า 10%) ไม่ควรเก็บเงินไว้
เหตุการที่จะเกิด เดาได้เลยว่า
- ธุรกิจกำลังแย่
- ควายบริหาร
- ผู้ถือหุ้นใหญ่ ดูดเงินรายย่อย
 # ROE ต่ำ ปันผลน้อยควรหลีก
ลักษณะผู้บริหารควาย (ไม่เลวก็ โง่)
- ซื้อหุ้นคืนราคาสูง
- ซื้อคืนเอามาหักหุ้นที่แจกผู้บริหารฟรี
- ซื้อคืนลดจำนวนหุ้นที่เพิ่มออกเพิ่ม
-- บางที แจกหมด หรือ เก็บไว้ ก็ยังไง เลย แจกส่วนหนึ่ง เก็บส่วนหนึ่ง

เราสามารถ นำเงินปันผล (%) มา คูณ กับ P/E (Price / Earning)
- เราจะได้ % ของกำไรบริษัท ที่นำมาปันผล

-----------------------------------------------------------------------------
งบกระแสเงินสด (เงินสดเหลือเยอะ = ดี)
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
- เปรียบเทียบ ระหว่าง ส่วนของผู้ถือหุ้น กับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
--  ส่วนของผู้ถือหุ้น > มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด = ดี [เป็นบริษัทที่มีมูลค่า ขายได้ราคาแพง]
--  ส่วนของผู้ถือหุ้น < มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด = ไม่ดี [เป็นบริษัทที่ ขายถูกกว่าที่มี]
- เปรียบเทียบ ระหว่าง กำไรต่อปี กับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด
-- กำไรต่อปี / มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด > 10% [ดี >> ลงทุน ครั้งเดียว 10 ปีคืนทุน]
-- กำไรต่อปี / มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด < 10% [ไม่ดี >> คืนทุนนาน]
* ซื้อบริษัทไม่คุ้ม หุ้นเดียวก็ไม่ควรซื้อ
- บางบริษัท กำไรต่อปีน้อย , ส่วนของผู้ถือหุ้น < มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด >>
แต่ในตลาดมีผู้ซ์้อดิลแบบนี้เยอะแยะ

-----------------------------------------------------------------------------
สรุป
งบดุลดู 3 อย่าง
- ทุนโตขึ้นไหม ?
-- > 10% = ดี
-- < 10% = พอใช้
-- ลดลงเรื่อยๆ = แย่
- ทุนปีล่าสุดมากกว่าเรียกชำระไหม ?
-- > = ดี
-- < = แย่
- เรียกชำระเพิ่มขึ้นไหม
-- เท่าเดิม = ดี
-- ลดลง = พอไหม
-- เพิ่มบ้าง = แย่  , เพิ่มเยอะ = แย่มาก
- ยอดขาย ควร > เงินลงทุน
- อัตรากำไร ควร > 10 %
- ROE ควร > 20 %
- กำไรสุทธิ ควรโตต่อเนื่อง

ข้อมูลในอดีต วิเคราะห์การเติบโตในอนาคต
- ส่วนของเจ้าของ ต้องมากขึ้น (ส่วนของผู้ถือหุ้น โตกี่ %)
- ยอดขาย ต้องมากขึ้น (รายได้ / กำไร สุทธิ)
- กำไรที่ ต้องมากขึ้น (กำไรสุทธิปีล่าสุด / กำไรสุทธิ 3 ปีก่อน)
# การขายที่มากขึ้น >> กำไรโตขึ้น
กำไรที่ได้ขากบริษัท แบ่งเป็น 2 ส่วน
- ส่วนแรกคือปันผล (คำนวณจาก ปันผล x P/E)
- ส่วนเงินที่เหลือ >> พัฒนาบริษัท
- เงินที่เอาไปพัฒนาบริษัทสามารถตรวจสอบได้จาก ROE%
-- ROE ที่สูงพอพอปีก่อน แสดงว่าบริหารได้ดี
Ex ROE 24%
- แจก 40 % >> = 9.6% (จากที่ควรได้ 9.6% แต่เหลือน้อยเพราะ หุ้นราคาแพง)
- เก็บ 60 % >> = 14.4% >> 14% โตพอพอกับทุนที่โตขึ้น = บริหารดี

** หัวใจหลักของการลงทุนคือ ความปลอดภัย และรักษาเงินต้นให้ได้

-----------------------------------------------------------------------------
ความโลภ ชนะความกลัวได้
ความกลัว อาจเลี่ยงให้พ้นอันตราย
ความเกียจคร้าน ทำให้หาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความโง่ ทำให้อ่อนน้อมถ่อมตน
ไม่มีการชนะตนเอง ไม่มีการเป็นนายเหนือตัวเอง

-----------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
Link1 : https://pantip.com/topic/33784056
Link2 : https://pantip.com/topic/33789418
Link3 : https://pantip.com/topic/30385059

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น