MudleyGroup : Hedge Fund Manager : EP1

Hedge Fund Manager 001
สรุปความรู้ที่ได้จาก : https://www.youtube.com/watch?v=DbQfoaQoR5M

Visual life วิเคราะห์ชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง >> เพื่อที่ทำให้ตัวเองเดินต่อไปได้
ประวัติพี่ต้าน
- เป้าหมายภาพต้องชัด
- พี่ต้านยังไม่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร
-- แต่ชอบการแข่งขัน  >> ชอบแข่งแม้รู้ว่าสู้ไม่ได้
Ex Eng เกรด 1 แต่ไปสู้กับ เกรด 4 ,เล่นเกมส์กับเพื่อนแล้วแพ้ แต่จนชนะ
- เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่เสพติดความชนะ
- พี่ต้านชอบเล่นหมากรุก >> คิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์ (เนื่องจากตัวเองเดินเร็วมาก)
- พรสวรรค์ เป็นแค่ตัวจุดสตาร์ด >> ทำให้เรียนรู้เร็วกว่าคนอื่น >> แต่มันประกอบด้วยอะไรหลายๆอย่างมาก
- เป็นนักหมากรุกที่อายุน้อย
-- เมื่อถึงจุดหนึ่งชนะ จนเชื่อว่าตัวเองเก่ง >> ไปเจอคนที่เก่งกว่า เกิดอาการช๊อค (อายุ 14)
-- ช๊อค >> รู้สึกยอมแพ้
-- มีความคิดว่าต้องแข่งกับคนที่เก่งกว่า เพื่อให้ตัวเองเก่งขึ้น >> แต่ผิดคาด >> ยอมแพ้เลย >> หันไปทำอย่างอื่น
- ช๊อค >> อ่านหนังสือ ไปเรื่อยๆ ที่มีในห้องสมุด (ไม่รู้จะทำอะไร) >> ความรู้สึกผิดหวัง ไปหมด >> แข่งไปหมด แข่งทุกอย่าง
* เจอสิ่งที่เราทำได้ดี แต่มันทำไม่ได้ตามเป้าของเรา >> ทำให้เกิดการช๊อค >> รู้สึกท้อแท้ >> ทำให้ยอมแพ้ในหลายๆเรื่อง >> ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย
* เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ ส่งบททดสอบต่างๆมาให้เรา และ เราต้องเป็นคนทดสอบก่อน ถึงจะรู้ว่าเราจะไปต่อ หรือยอม
- จนถึงช่วง เอนทรานซ์ ต้องสอบเพราะคิดว่า ตัวเองไม่มีอะไรซักอย่าง คิดแค่ต้องสอบเข้า วิศวให้ได้
- พอไปเรียนก็สู้เขาไม่ได้ เรียนไม่รู้เรื่อง ,สู้เขาได้แค่คณิตศาสตร์ (เพราะมีพื้นฐาน)

จนวันหนึ่ง
- ยืนรอรถเมย์อยู่ มองเห็นตารางหนังสือพิมพ์ (หน่วยลงทุน) >> อยุ่ข้างหน้าหนังสือพิมพ์
- เกิดความสงใสว่าตัวเลขคืออะไร ทำไมมีการเคลื่อนไหวทุกวัน >> ตัดสินใจซื้อ (ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองซื้อมาทำไม) >> ซื้อจนติดเป็นนิสัย
- บางทีทิ้งหนังสือพิมพ์ทั้งหมด แต่ตัดแต่หน้าตัวเลข
- คิดว่าถ้ามีตัวเลขเหล่านี้ เราจะทำยังไง
- เริ่มรู้ว่ามันคือตลาดหุ้น เริ่มเทรดตั้งแต่ปี 1
- ปี 1 เริ่มมีเงินจากการสอนพิเศษ กับเงินที่บ้านให้ (2 - 3 หมื่น)
- เปิดบัญชี โดน เทเรคอมเอเชีย >> Fail อีกครั้ง กลับมาคิดว่าต้องทำอย่างไร >>
แต่ไม่รู้สึก Fail เพราะเป็นมาตลอดชีวิต
- เริ่มศึกษาอาชีพ Trader >> ไปตลาดหลักทรัพย์ไปถามว่า Trader คืออะไร ? มันคืออาชีะอะไร ?
- หาหนังสืออ่านมากที่สุด หอสมุดต่างๆ (สมัยนั้นไม่มี อินเทอร์เน๊ต)
- เจอหนังสือเล่นหนึ่ง อธิบายอาชีพ Trader คือ ใช้เครื่องมือในระบบทุนนิยม ในการหาเงิน
- ตั้งใจว่า อาชีพนี้น่าสนใจ และมีความท้าทาย
- เริ่มศึกษา จาก Technical Analysis (TA)
- ศึกษาจนไปถามเพื่อน >> เพื่อนพาไปบ้าน พ่อที่บ้านจะโล๊ะหนังสือเกี่ยวกับ TA จึงไปขอมา
- ศึกษา TA จนไป Cut Loss เทเรคอมเอเชีย
- ใช้ TA ในการเทรด และกำไรตลอด ใช้ Slope ในการเทรด
(ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง Slope) จะขายออกก่อน
- เทรดจนได้เงินคืนมา
- ทดสอบความรู้ โดยการไปแข่งที่ตลาดหลักทรัพย์ >> ชนะคู่แข่งขาดลอย (ตลาดขาลง)

- ลงหนังสือพิมพ์ >> ฝรั่งอ่านหนังสือ ไปติดต่อคนได้ลำดับที่ 1 - 2 - 3 >> แต่มีพี่ต้านไปคนเดียว (ไม่มีอะไรจะเสีย)
- ฝรั่ง 2 คนพนันกันว่า เทรดจากเดโม่ไม่สามารถเทรดจริงได้หลอก คนหนึ่งเดิมพันรอด อีกคนเดิมพันไม่รอด
- เอาพี่ต้านเป็นคนพนัน (ถ้าพี่ต้านทำได้คือ เปลี่ยนชีวิต)
* คนอื่นจะเห็นเราได้ เราต้องพิสูจน์ ในระดับหนึ่งก่อน
- ฝรั่งถามว่าสนใจที่จะเทรดให้เขาไหม (พอร์ตที่บริหารคือเงิน ประมาณ 10 ล้าน)
- ฝรั่งคนที่แพ้ขอ เดิมพันเพิ่มว่า ต้องให้พี่ต้านลาออกจากมหาลัยเพื่มมาเทรดให้เขา
- พี่ต้านยื่นโปรเจคจบเรียบร้อยแล้ว (รอจบ) >> พี่ต้านต่อรองว่าดรอปได้ไหม >> เขาไม่ยอม
- ถ้าพี่ต้านลาออกแน่นอน ให้เซนสัญญาแล้ว เอาเอกสารลาออกมายืนยันทีหลังได้
- ติดต่อไปว่าจะลาออกแน่นอน >> ไปเซนสัญญา (ไม่บอกทางบ้านเพราะถ้าที่บ้านรู้ จะโดนห้ามแน่นอน)
- เริ่มเทรด เพราะถ้าทำไม่สำเร็จ คือจบแน่นอน (ไม่มีปริญญา) มันคือชีวิต
- เริ่มคิดการบริหารพอร์ต ใช้เงินไม่เยอะ
- ประสบความสำเร็จในตลาด
- ใช้พอร์ตไปสมัครงาน ที่ Efinance เขารับ โดยเป็นวิทยากร
- มีการเขียนให้ เชียร์ หุ้น แต่พี่ต้านไม่เชียร์
- ตอนนั้นพี่้ต้านมี ECO เยอะมาก >> มองตัวเองว่าตัวเองเทรดได้แล้ว ใครจะไม
- ระหว่างที่บริหารพอร์ต พี่ต้านมีแอบไปเรียน คณะบริหาร ม.กรุงเทพ >> ดรอปเรียนจนลืม
>>แต่ไม่จบ เพราะถูกส่งตัวไปเมกาต่อ
- อยู่ดีๆ โดนส่งตัวไปเมกา >> โดยถามพี่ต้านว่า อยากรู้ไหมว่า Trader จริงๆเป็นอย่างไร ?

- ไปเมกามี ECO สูง >> ไม่ต้องการให้ใครมาสอนเรา
- ไปเจอ mentor >> เจอครั้งแรกมันเป็นไคร มาสอนเรา
- โดนสั่งว่าให้เราของไปเก็บที่เขา >> แล้วจะใช้ยังไง ?
- ให้เงินเป็นต่อสัปดาห์ >> โดยดำรงค์ชีวิตใน คาสิโนให้ได้
- ต้องเล่น Poker เพื่อดำรงค์ชีวิตให้ได้
- คนเกาหลี ถามคำถามแรก เกณฑ์ เท่าไหร่ถึงผ่าน - คำตอบอยู่ที่ mentor
- จัดกลุ่มกัน คน Asia จะจัดกลุ่มกันเอง เหลือพี่ต้าน
- พี่ต้านได้กลุ่มรัสเซีย กับคนยิว
- การคบเพื่อนต่างเชื้อชาติ
-- แต่ละเชื้อชาติมีความคิดที่แตกต่างกัน
-- คนรัสเซีย คิด+ คิดว่าเขามีเงินให้ตั้ง 50 เหรียญ >> พี่ต้านคิดว่า 50 เหรียญอยู่ยังไง
-- คนยิววางแผน เพื่อดำรงค์ชีวิตให้อยู่ในได้ 1 สัปดาห์ >> วางแผนหาสถานที่กินฟรี
>> คนยิว จะมาพร้อม กับคำตอบตลอด (เป็นคนน่าเกรงขาม)
- หน้าที่พี่ต้านเป็นคนที่นั่งเล่น
- คนยิวมีหน้าที่วางแผน วางแผนว่าต้องเล่นยังไง 1 - 2 - 3
- พยายามไปเรื่อยๆ มีการคิดถึงการเล่นที่เหมาะสม

รู้ว่า Poket สำคัญยังไง ?
- mentor ส่ง Coach มาสอน หลังจากเล่นมาซักระยะหนึ่งแล้ว
- จึงรู้เทคนิคมากขึ้น
- Poket ต้องมีการปรับเปลี่ยน แผนการไปเรื่อยๆ

- เจ้าของ คาซิโน เป็นเจ้าของ Board Street

ได้เซนสัญญาเข้ามาใน Board Street
- พี่ต้านมั่นใจ ว่าต้องชนะหลายๆคนแน่นอน เพราะพี่ต้านเคยเทรด TA มาแล้ว
- พี่ต้านใช้ TA เทรดแต่สู้คนอื่นไม่ได้ ที่โหล่ >> รู้สึกว่ามันไม่ใช้ มันผิดปกติ
* โทษโน้นโทษนี้ โทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง (มั่นใจว่าตัวเองเก่ง)
- mentor เข้ามาหาพี่ต้าน และบอกให้พี่ต้านเปลี่ยน method
- พี่ต้านต้องเปลี่ยน เพราะถ้าไม่เปลี่ยนก็ไม่ต้องเทรด
- method เป็นการเทรดโดยใช้ Fundamental (ใช้เวลานานในการเปลี่ยน (ครึ่งปี))
- กลับรู้สึกว่า คนที่เป็น mentor ระดับโลกดูถูกเรา (ECO สูง)
- เจอเพื่อน เพื่อนบอกว่า ให้คิดว่าเราเมื่อก่อนเราเป็นอย่างไร
(ตอนนี้เราเก่ง แต่เมื่อก่อนเราเริ่มต้นจากอะไร)
- มองว่าตอนนั้นที่เราล้มเหลว ทำให้ได้คิดว่า ทำไมเราไม่เปิดใจอย่างอื่นดูบ้าง ?
- เริ่มศึกษา  Fundamental ทำได้ดีขึ้น เรื่อยๆ และเมื่อกลับไปเป็นแบบเดิม (ECO)
จะทำให้ประสิทธิภาพแย่ลง
- ศึกษา ,เปิดใจ >> ไปแข่งขันได้ที่ 10 กว่า >> ไปสอบเฟริมใหม่
- เป็น Hedge fund >> ยื่นข้อเสนอว่า อยากเป็น Hedge fund ที่เปิด Fund ที่เมืองไทยได้

- งานที่พี่ต้านทำคือ เอาเงินไปลงทุนใน Fund ต่างๆ Copy กระบวนการต่างๆ ของFund นั้นๆ
ใช้ความสามารถ คณิตศาสตร์ ในการ Copy
- สิ่งที่สัมผัส ได้จากการติดต่องานคือ พวก Fund ต่างๆมี ECO น้อย
- ทำบันทึกไปเรื่อยๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะได้ไปประชุมกับ Fund ต่างๆ >> มีการแลกนามบัตรกัน
- ต้องกลับมาทำ Hedge fund (Riccio)

------------------------------------------------
- ความเข้าใจของเรา คือ Fundamental เกี่ยวกับข่าว
- Fundamental ไม่เกี่ยวกับข่าวเท่าไหร่ จะเกี่ยวกับข่าวก็ต่อเมื่อมรการเปลี่ยนแปลง มากๆ
- ข่าวกลับทำให้เราเห็นมุมเดียว >> ข่าวทำให้เราเห็นคนละมุม
- ศึกษา Funddmental จริงๆ ต้องเห็น 2 ด้าน

เส้นทางการเป็น Fund manager
- การฝึกมีอะไรบ้าง
-- จินตนาการ ถึงความที่เรามีพยายามอย่างแรงกล้า
--- ตอนโดยดูถูก >> ทำเป็นพลัง >> จะมีความตั้งใจ
- ตั้งใจอย่างจริงจัง >>> ต้องเทรดให้ดีมากกว่านี้
จะทำอะไรซักอย่างจริง
-  ถ้าเราอยากเป็น มืออาชีพ เราต้อง Focus กับมันอย่างจริงจัง
- เราต้องฝึกฝนตัวเองตลอด
- เราต้อง Dual กับตลาดตลอด (ต้องเข้าใจ) >> ถ้าเรามีสกิว เราจะมีทักษะ
- เราเป็นคนรู้ตัวเราเองว่าเรามีขีดจำกัดตัวเองแค่ไหน
- เราต้องมีความสุขที่จะเรียนรู้มัน
- เราต้องรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง >> แล้วเราจำทำอย่างไรให้ได้เปรียบ
- ทุกอย่างไม่ตลก ถ้าเราทำอย่างจริงจัง

ถ้าเรามาถูกทาง
- เราจะมีประสิทธิภาพ เพิ่มขึ้นเรื่้อย แต่เราไม่สามารถรู้อนาคตได้ >> มโนได้ แต่confirm ไม่ได้
- ถ้ารู้อนาคต เราก็ไม่จำเป็นต้องมี Risk management
- คำถามจะเป็นตัวตัดสินว่าเราชอบ หรือไม่ชอบ

หลังจากที่พี่ต้านมาสอนลง Youtube
- พี่ต้านได้รับอะไรหลายๆอย่างๆ
-- ทำให้คิดถึงเวลาในอดีต และบันทึกความรู้สึกนั้นลงใน ปัจจุบัน
-- ทำให้มอง Macro ดีขึ้นมากกว่าเดิม
-- เทรดดีขึ้น
- ทำให้ไม่สนใจในสิ่งที่ผิดถูก
Ex พวก Gamer สตีม เขาจะเก่งขึ้น เพราะได้ถ่ายทอดมันออกไป

ถ้ามีคนไม่เข้าใจเรา
- ถ้าเรารักมันจริงๆ เราจะหาวิธีการเอง
- การจะเป็นเทรดได้ เราต้องคิดทุกอย่าง ให้รอบด้าน เพราะมันเป็นเกมส์ที่ต้องเจอ

คนเราให้ความสำคัญ กับแต่ละสิ่งไม่เท่ากัน
Ex ถ้าเราให้ความสำคัญ กับครอบครัว ถ้าเหลือเวลา 5 ชั่วโมงเราก็จะกลับไปหาครอบครัว
- ลองถามตัวเองว่าอยากเป็น Trader จริงไหม >> ยอมตายคาหน้าจอได้ไหม ?

- พี่ต้านเดินสายลงทุนตามธรรมชาติ (ให้ตลาดบอก)
- ถ้าถูก จะมีกำไร
- ถ้าผิด จะติดลบนาน โดยดูที่ค่า T (เวลา) >> ไม่มี Cut Loss
-- ลงทุนด้วย ความจริงทาง ตรรกะ
- ตรรกะ ทางคณิตศาสตร์ เป็น Down Trend จะอยู่ใต้ MA
- ถ้าถูกทางจะเทรดได้ตัง

Q : แล้วจะแก้ปัญหา SW ยังไง
A : ถ้า SW ยังไงก็จะได้เงิน >> ถ้าเป็น SW มันจะบอกเราเองว่าจะ SW ไปทางไหน
- การเทรดจะบอกเราเองว่า เราจะเทรดทิศทางไหน
- มองดูว่าเราได้ เงินจากตรงไหน
- ถ้ารู้ว่าได้ เงินจากตรงไหน เราก็เล่นไปทางนั้น

------------------------------------------------
Update Macro
- ทองคำ ค่อยๆขึ้นมาเรื่้อยๆ
- หุ้นเหมืองทอง ค่อยๆ เนียนขึ้นมาเรื่อยๆ
-global ใช้เวลานาน (มีช่วงเวลาในการเก็บ)

Bitcoin (ความคิดเห็นเมื่อ 2015)
- ถ้าจะมีมูลค่าต้อง ผูก Asset
- ไม่ได้รองรับ พฤติกรรมมนุษย์มากนัก
- ถ้ามีการครอบคลอง มันจะมีพลังงานมาก
- ถ้าจะทำให้ BTC มีมูลค่าสูง ต้องผูกกับกิจกรรมของมนุษย์ได้

------------------------------------------------

เพิ่มเติม
- 0002 : MudleyGroup - ระบบทุนนิยม :
http://yutaro-diary.blogspot.com/2017/10/0000-etc.html
- 0004 : MudleyGroup - กลยุทธ์ และจุดอ่อน :
http://yutaro-diary.blogspot.com/2017/11/0004-mudleygroup.html

KZM : Killer Zone Model : EP4 [KZM (A,B)]

เขียนต่อจาก :
Link : http://yutaro-diary.blogspot.com/2017/11/0002-mudleygroup-pantip-2.html

ขยายความ KZM (เฉพาะกอง A และ B) : ทดสอบความเข้าใจ
- โดยจะสมมุติ ทรัพยากร ที่เรามีได้แก่
-- เงิน 100,000 บาท
* มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ในการใช้  Technical Analysis (TA)
- ราคา Tdex ปัจจุบันอยู่ที่ 10.00 บาท
- ใช้ Model (ไม่ทราบว่าใครออกแบบ)
สามารถ Download ที่ : http://value-visions.blogspot.com/2016/06/0470-trade-log.html

เลือกลงทุนใน Tdex (ETF)
- เนื่องจาก Index ไม่มีทางเหลือ 0

เริ่มวางแผน
- ต่อสู้ด้วยสัดส่วน แบ่งกองกำลังตามจำนวนเงิน
-- 100,000 บาท สามารถซื้อหุ้นที่ราคา 10 บาทได้ >> 10,000 หุ้น แบ่ง 100 หุ้นได้ 100 กอง
--- กอง A : จะมีทั้งหมด 50 กอง
--- กอง B : จะมีทั้งหมด 50 กอง

หน้าที่
- กอง A : โจมตีข้าศึกเป็น ช่วง
- กอง B : กองหนุนกอง A (โจมตีบ่อยกว่า) >> เพื่อสร้างความได้เปรียบ
- กำหนดช่วง เข้าโจมตี
-- เลือกโจมตีในช่วงราคา 8 - 10 บาท


- โซนที่เลือกอยู่ใน ช่วง (ซ้าย : A ,ขวา : B)
-- ด้านซ้านที่ราคา 10 บาท อยู่ในช่วงลำดับที่ 103 ที่ราคา 8 บาทอยู่ในช่วง 83
--- 103 - 83 = 20 โซน
-- ด้านซ้านที่ราคา 10 บาท อยู่ในช่วงลำดับที่ 102 ที่ราคา 8 บาทอยู่ในช่วง 82
--- 102 - 82 = 20 โซน

แบ่งกองกำลัง + โจมตี
- กอง A ได้คุม โซนละ 2.5 (ปัดเป็น 3 เพื่อเพิ่มกระแสเงินสด)
-- แต่ถ้าราคาถึง 8 บาท ต้องเพิ่มเงินอีกมากสุด 10,000 บาท
--- กองกำลัง A จะเริ่มโจมตีโซน(103) ราคา 10 บาท/300 หุ้น ,ขายที่ราคา 10.2 บาท / 300 หุ้น
--- กอง A โจมตีอีกทีที่ โซน(101) ที่ราคา 9.82 ,9.81 ,9.80 บาท/ ละ 100 หุ้น (รวม 300 หุ้น)
ขายที่ราคา 10.00 บาท/300 หุ้น


- กอง B ได้คุมโซนละ 2.5 (ปัดเป็น 3 เพื่อเพิ่มกระแสเงินสด)
-- แต่ถ้าราคาถึง 8 บาท ต้องเพิ่มเงินอีกมากสุด 10,000 บาท
--- กองกำลัง B จะเริ่มโจมตีโซน(102) ราคา 9.92 ,9.91 ,9.00 บาท/ ละ 100 หุ้น (รวม 300 หุ้น)
ขายที่ราคา 10.10 บาท/300 หุ้น
--- กอง B โจมตีอีกทีที่ โซน(100) ที่ราคา 9.72 ,9.71 ,9.70 บาท/ ละ 100 หุ้น (รวม 300 หุ้น)
ขายที่ราคา 9.90 บาท/300 หุ้น

การเพิ่มกองกำลัง
- ใช้กระแสเงินสดแฝงในการเพิ่ม
-- โดยการเพิ่มจากจุดที่ซื้อเลยถ้ามีกระแสเงินสดแฝงมากพอ
-- การเพิ่มจำนวนหุ้นในกอง จาก 100 เป็น 200 ดำเนินการหลังจาก ยึดพื้นที่โซนได้ครบทุกช่อง
Ex 9.11 ,9.12 ,9.13 - 10.00

Q : กรณีหลุด Zone ด้านบน ต้องขายหุ้น Zone ข้างล่างไหม
A : บางกรณีเราแบ่ง Zoneไว้เผื่อแล้ว เช่น แบ่งถึง 8 - 12 บาท ณ ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 10 บาท
- เราเก็บ Zone ที่ต่ำกว่า 10 บาทมาเรื่อยๆ อยู่ แล้วโดยใช้ต้นทุนจากช่วง 10 ถึง 12 บาท
- กรณีขึ้นรุนแรงจนทะลุ 12 บาท จะไม่ไล่ตาม จะใช้ C D เข้ามาช่วยแทน
- กรณีลงแรงๆ จะมีกระแสเงินสด เล่นเสมอ
- ขยายพื้นที่กินจุดไปเรื่อยๆ

Q : เงินที่ได้ จะคุ้มกับเวลาที่เสียไปหรือเปล่า ?
A : ข้อแตกต่างระหว่าง คนสำเร็จในการเทรดนั้นคือ Protect Capital ตัวเอง >> ผลตอบแทนตามมาเอง
- มองยาวๆ เพิ่มโซนไปเรื่อยๆ ผลตอบแทนเพิ่ม
- ทักษะในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น
- ถ้ามองผลตอบแทนก่อนจะเหมือนคนทั่วๆไป

ระดับการลงทุน
LV1 เล่นตามโซน เก็บเงินแฝง
LV2 ขยายโซนครบทุกเลข ทำเงินแฝงได้สม่ำเสมอทุกวัน
LV3 เงินแฝงจะขยายมา กลยุทธ์ options
LV4 บุกเข้า สู่ Future
LV5 ไปล่าฝรั่งกัน

---------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
Link 1 : http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/11/I7181375/I7181375.html
Link 2 : http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/08/I6908867/I6908867.html

MudleyGroup : กลยุทธ์ และจุดอ่อน : EP2

สรุปความรู้ที่ได้จาก
Link : https://www.youtube.com/watch?v=gLtv9hVDtS0
Link : https://www.youtube.com/watch?v=cfMipxmjnFk

---------------------------------------------------------------

- อาชีพที่ออกแบบกลยุทธ์  เป็นอาชีพที่ใครก็อยากเป็น (ดูเท้ ,ดูฉลาด)
-- แต่เราต้องเป็นคนที่คิดรอบด้านจริงๆ
-- ถ้ามองมุมกว้างไม่ได้ จะยาก
Ex เราไม่สามารถเปิดใจยอมรับสิ่งต่าง ,มีความเชื่อ(ศาสนา) >> จะทำให้มุมมองแคบลงเรื่อยๆ

การเป็นนักกลยุทธ์ที่ดี
1.) ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ (เราเป็นใคร) >> การรู้จักตนเอง (จุดอ่อน จุดแข็ง) >>
ถ้ามองไม่ออกจะ คิดกลยุทธ์ที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้
- ส่วนมากนักกลยุทธ์มักตกม้าตาย เพราะ ไม่รู้จักตนเอง (ไม่รู้จักจุดอ่อน จุดแข็ง)
- กลยุทธ์ที่คิดว่าดีที่สุด อาจเป็นผลแย่สำหรับเรา
- นักกลยุทธ์มือใหม่ มักเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
- แต่บางครั้ง กลยุทธ์นั้นอาจไม่สอดคล้องกับตัวเรา >> ส่งผลให้เกิดความผิดพลาด
Ex กองทัพของเรามีทหารตัวใหญ่ แต่ดันเลือกกลยุทธ์เคลื่อนที่เร็ว (ตัวใหญ่ใช้พลังงานเยอะ) >>
ไม่สอดคล้องกับตัวเรา
Ex ใช้กลยุทธ์ของกองทุน แต่ทุนเราเป็นกองโจร
2.) นักกลยุทธ์ที่ดีต้องเขียนแผน เขียนออกมาจากในหัว
- ไม่มีนักกลยุทธ์คนไหนที่ไม่ขีดเขียน
- ถ้าไม่ได้เขียนก็ไม่สามารถวิเคราะห์รอบด้านได้
- เขียนและ แปลงเป็นภาพให้ได้
Ex เวลาทำสงคราม จะมีผังการรบ ต้องมีกลยุทธ์สงคราม
- ถ้าไม่ทำจะส่งผลให้เรามองด้านเดียว
- ถ้าเขียนเป็นภาพมันจะไหล เรื่อยๆ
- ต้องแปลง Process เป็นภาพออกมาอีกที >> ยิ่งเขียนภาพออกมาได้เท่าไหร่ >> ยิ่งคิดสร้างสรรค์มาก
- ถ้าเขียนเป็นภาพ จะเห็นลูกเล่น เทคนิคต่างๆ ของมือเก่า
- ถ้าสร้างภาพ จะเห็นสนามทั้งหมด และวิเคราะห์ได้ จะเห็นโอกาศทั้งหมด
- ถ้าเปลี่ยนเป็นภาพไม่ได้ คือจุดจบของนักกลยุทธ์
- การเขียนภาพ ต้องสอดคล้องกับความคิดของเราด้วย
- ภาพจะสือกับเราเอง
- อาจทำเป็น Flow Chart และสร้างเป็นภาพ
- การวาดภาพก่อนจะได้คิดว่ามันจะเกิดอะไรบ้าง ในมุมมองนั้นๆ
3.) การจริงจังกับ กลยุทธ์ของตนเอง
- นักกลยุทธ์ที่ ต้องวางแผนของตัวเอง และทำตามอย่างจริงจัง
- ระหว่างทางต้องมีการวิเคราะห์กลยุทธ์หลัก
- เราต้องสามารถแปลง กลยุทธ์หลักเป็นกลยุทธ์ย่อยได้
- นักกลยุทธ์ ที่พลาดส่วนใหญ่ นำกลยุทธ์ย่อยมา รวมกัน
- ส่วนสำคัญของการออกแบบคือ ต้องแปลงจากกลยุทธ์ หลัก ออกไปเป็นกลยุทธ์ย่อย
- และแปลงกลยุทธ์ย่อย จนไม่สามารถแปลงเป็นแบบอื่นออกมาได้
- ถ้ากลยุทธ์หลัก ไม่ละเอียดพอ ก็โจมตีไม่เข้า
- เวลาทำกลยุทธ์ ห้ามล้อเล่น (ต้องปรับโหมดของตนเองให้ได้)
- ถ้าเวลาทำกลยุทธ์ ไม่เครียด กลยุทธ์จะเกิดช่องโหว่
- ถ้าล้อเล่นเวลาออกแบบกลยุทธ์ ก็จะโดนกลยุทธ์ที่ล้อเล่นตาม
- การที่เราใช้ความเครียด กดดันตนเอง เราจะโดนโจมตีทางสมองหนักมาก
- การเทรดของเราคือชีวิต (เวลาคิดกลยุทธ์ ห้ามเอาชรวิตไปแขวนบนเส้นด้าย)
กลยุทธ์เกิดจากความคิด
- ถ้าคิดได้ คำถามจะเปลี่ยนไป
- คำถามที่เกิดจากการคิด และไม่ได้คิด จะต่างกัน
4.) คิดแบบ ความคิดคนอื่น
- พยายามเข้าไปความคิดของ ศัตรูให้ได้
- เข้าไปในสมอง จินตนาการ ให้ออก (สิ่งไหนที่เขาคิด สิ่งไหนที่เราคิด)
- คนทั่วไปคิดอย่างไร (ความคิดเดิมโดนหลอกไหม)
- จริงจังกับความคิดของตนเอง
Ex ได้เปรียบ เช่น ขายทองตอนตลาดแย่  ซื้อทองตอนตลาดดี
- เหมือนเรานำความคิดของเราไปยึดติดกับ บางอย่าง >> จะโดนหลอกง่ายๆ
- ให้สามารถอ่านภาพรวมได้ เราจะได้เปรียบ
- การจะรู้ Macro ของประเทศ ต้องวิเคราะหฺ จุดอ่อน จุดแข็ง ของประเทศนั้นๆ
Ex มอนสเตอร์ธาตุไฟ แพ้ ธาตุน้ำ
5.) พยายามลับกลยุทธ์ ตัวเองบ่อยๆ
- ต้องลองสนามบ่อยๆ
- ปรับให้ยื่ดหยุ่นขึ้น
- ต้องใช้มัน เพราะวางแผนมาแล้ว
- บางที copy มาก็ต้องนำมาใช้เพื่อให้เกิดความเข้าใจ

- ตลาดเป็นตัวกำหนด ผลตอบแทน
-- วางกลยุทธ์ ต้องวางให้สอดคล้อง ให้กับตลาด ณ เวลานั้นให้ที่สุด
- ตลาดไม่มีเงิน ก็ได้แค่เงินนั้น

- หลายคนที่คิดว่านักรบตัวเองเก่ง แต่กลับไปแพ้ที่ภูมิประเทศ (ธรรมชาติ)

- กลยุทธ์เชิงลึก คือการยืมพลังธรรมชาติ มาช่วยในกลยุทธ์
Ex รู้ทิศทางลม จะช่วยให้ชนะศัตรูได้ง่าย
- รู้ว่าจะเกิดภาวะหน้าหนาว เตรียมเสบียง น้อยแต่ให้พลังงานเยอะ
- ตลาดช่วงนี้มีความกลัว ความโลภ หาช่องว่าง
- พลังธรรมชาติ น่ากลัว
Ex ถ้าจะทุบราคา ก็ต้องทำให้กลัว ,อยากโก่งราคาก็ให้เราโลภ
สิ่งที่ต้องคิด เราจะหาความได้เปรียบตลาดได้อย่างไร ?

---------------------------------------------------------------

Q : การแข่งขันในตลาด (โบรค) เป็นการแข่งที่ให้เราทำกำไรในเวลาที่น้อยที่สุด
A : ผลประโยชน์ ตกที่โบรค เพราะโบรคต้องการให้เราเป็น Short Run
- การแข่งที่ดี ต้อง Base บนชีวิตจริง (มีคิด การวางแผน การลงมือ)
- ถ้าทำอะไรที่ Long run ได้จะเป็นผลดีกับเราในระยะยาว
- คนอื่นที่แข่งกับเราจะ แพ้เราด้วยเวลา
- สิ่งสำคัญ คือ เวลา สม่ำเสมอ ไม่เจ้ง

Q : Pamm account คนที่จ่ายตังให้เราถ้าตรงเงื่อนไข ?
A :  โบรค (โบรคได้ค่าคอมจากคน Copy..)

Q : ไม่เคยรู้สึกตันเลยหลอ ?
A : ความรู้สึกตันก็มี แต่ มันเกิดจากการที่เราวาดไม่พอ เขียนไม่พอ
- ตันทำให้ เราไม่สนุกกับการทำมัน
- ทุกคนเป็น แต่หลายๆคนไม่ท้อ
- พักไปทำอย่างอื่น แต่อย่างไรก็มาทำต่อ
- ทางตัน เป็นหนทางที่ถามว่าเราชอบมันจริงๆไหม ถ้าชอบเราก็จะทำมันต่อ
- ต้องถามตัวเองว่า เราชอบผลลัพธ์ หรือเส้นทาง เพราะเส้นทางมีอุปสรรค์
- คนส่วนมากชอง ผลลัพธ์ แต่ไม่ชอบเส้นทาง

Q : หมากกระดาน มีกลยุธท์มากกว่า หุ้นเยอะ
A : เพราะว่า หมากกระดานเดินได้หลายทาง แต่ตลาดมีขึ้นกับลง

Q : สิ่งสำคัญที่ทำให้เรา ไม่สามารถชนะตลาดได้ คือ
A : 1.) เรารับมือตัวเองไม่ได้ 2.)เราไม่เข้าใจธรรมชาติของ กลยุทธ์
- อารมณ์ขัดแย้งกับ กลยุทธ์ของตนเอง >> ผลที่ตามมาคือ ไม่ได้ดั่งใจ
- Poker เป็นเกมส์ที่คุกคามด้วย คำพูด กดดัน >> ทำให้เกิดอารมณ์
- Poker บางทีคิดอย่างดี วางแผนอย่างดี แต่พลาด >> เสียหมด
- ดังนั้นนัก Poker จึงมีทักษะในการลงทุนระดับหนึ่ง เพราะ เสียจะไม่หมด

---------------------------------------------------------------

สาเหตุที่พี่ต้านไปลงทุนที่ รัสเซีย
- รัสเซียเป็นประเทศที่จำกัด ปริมาณ รูเบิล มีน้อย
- สภาพคล่องมีน้อย เคลื่อนไหวง่าย สภาพคล่องมีเยอะเคลื่่อนไหวยาก
- ถ้ามี Demand จะเกิดการใช้เงินที่มากขึ้น
- รัสเซีย จะจัดฟุตบอลโลกปี 2018
- รัสเซีย เหมือนเครื่องจักรที่ รอไฟจุด
- รัสเซีย ตลาดหุ้นถูกกว่า กำลังทหารเยอะกว่า

สาเหตุที่พี่ต้านเก็บเงิน AUS
- ทรัพยากรธรรมชาติเยอะ
- มีหนี้น้อย >> มีโอกาศสร้างหนี้

Demand ส่วนเกิน
- ถ้า Demand Supply พอดีกัน hedge fund ชอบเก็งกำไรกัน
- ถ้าเพิ่ม Demand หรือ Supply แค่นิดเดียว กราฟจะเคลื่อนที่ แบบ Expo
- ถ้าพอดี เติม Demand กราฟจะลง ถ้าเติม Supply กราฟจะขึ้น
- คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นแรงดัน แรงผลัก

---------------------------------------------------------------

เพิ่มเติม
0002 : MudleyGroup - ระบบทุนนิยม : http://yutaro-diary.blogspot.com/2017/10/0000-etc.html

Stock : Big Lot ? : EP12

BIG LOT ?
- เป็นการซื้อขาย ของรายใหญ่ (ตั้งแต่ 1 ล้านหลักทรัพย์ หรือ 3 ล้านบาทขึ้น)
- เป็นการซื้อขายที่ รายใหญ่ตกลงกันเอง
- เป็นลักษณะการซื้อขายแบบ Put - through
- ถ้าไม่มีการซื้อขายแบบ Big Lot
-- รายใหญ่จะเกิดการลังเล เพราะต้องไปกวาดใน กระดาน >> ราคาปรับสูงขึ้น ต้นทุนแพงขึ้น
-- ในทางตรงกันข้าง ถ้าจะขายก็จะเกิดการทุบหุ้น โดยไม่ตั้งใจ

ผลดี และผลเสียต่อราคาหุ้น
- นักลงทุนรายใหญ่ไม่ต้องซื่อแพง และไม่ต้องขายถูกเกิน
- ทำให้หุ้นเกิดเสถียรภาพมากขึ้น ไม่ส่งผลต่อการขึ้นลงราคา

Put - through
- เป็นการซื้อขาย หลักทรัพย์ที่ ผู้ซื้อและขาย ต่อรองเพื่อตกลงราคาซื้อขายกัน
- การซื้อขาย จะไม่เกี่ยวกับราคาสูงสุด และต่ำสุดของหลักทรัพย์ในแต่ละวัน
*ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศสามารถซื้อขายได้ทั้ง Automatching และ Put - through

- การขาย Big Lot ในระยะสั้นอาจเป็น ลบเล็กน้อย แต่ในระยะยาวไม่มีผล >>
หุ้นตัวนั้นอาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจาก สถาบันเป็นคนซื้อ (สภาพคล่องดีขึ้น)

-----------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
Link 1 : https://pantip.com/topic/35332995
Link 2 : https://pantip.com/topic/30129866
Link 3 : http:// www.stock2morrow.com/forums/forum/ห้องเม่าหลัก/ห้องเม่าปีกเหล็ก
/40871-big-lot-คืออะไร-และมีผลดีหรือผลเสียต่อราคาหุ้นยังไง

Link 4 : http:// www.moneymartthai.com/guru/index.php?cat=dd5c07036f2975ff4bce568b6511d3bc&know_id=693

Stock : Blue chip stock ? : EP11

หุ้นบลูชิพ ?
- บูลชิพ (Blue-Chip) คือ เหรียญสีน้ำเงินที่มาราคาแพงสุด ในคาสิโนยุคแรกๆ
- หุ้นบลูชิพ > หุ้นชั้นดี ,ความเสี่ยงต่ำ >> ทำให้ราคาสูง

คุณสมบัติคร่าวๆของหุ้น บลูชิพ
- มี Market Cap ขนาดใหญ่ (หรืออยู่ใน Set50)
- มีสภาพคล่องซื้อขายสูง
- สถาณะการเงินมั่นคง มีกำไรต่อเนื่อง
- บริษัทเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
- เป็นผู้นำตลาด มีความสามารถในการแข่งขันสูง
Ex PTT ,SCC ,ADVANCE ,CPF

- คุณสมบัติเหล่านี้ ส่งผล
-- ขวัญใจนักลงทุนในตลาด Sideway (เป็นเกาะป้องกันพอร์ต) >> เป็นหุ้นทนสภาะผันผวน
-- ถึงตลาดลงก็ยังได้ปันผล

----------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
Link1 : http:// hoondb.com/หุ้นบลูชิพ/
Link2 : http:// wealthmeup.com/หุ้นบลูชิพ-ที่น่าสนใจ/

KZM : Killer Zone Model : EP3 [Pantip]

KZM : Killer Zone Model : EP3 [Pantip]
- แนวคิด DSM ไม่ต่างจาก แนวคิดเฮดจ์ฟันหลายๆสำนัก (ยึดครองพื้นที่) โดยใช้เงินเท่าเดิม
- แนวคิด DSM ดี แต่ต้องนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม
จุดแข็ง
- มีวินัยในการซื้อขาย (มีขั้นตอนการซื้อขาย)
- สร้างความสบายใจด้วยกระแสเงินสดแฝง และปริมาณหุ้นที่เพิ่มขึ้น
จุดอ่อน
- การเลือกหุ้น (เลือกหุ้นไม่ดี จะสะสมไปเพื่ออะไร ?)
การนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- เลือก Product ที่เหมาะสม
- เลือก หุ้นที่คิดว่าจะอยู่กับเราไปนานๆ (ETF ก็ได้)

- ถ้าต้องการส่วนต่างจากเกมส์การเงิน ต้องเลือกสนามในการเล่นไห้ถูกต้อง
- คนทั่วไปมักมองเห็น Short Run > Long Run ต่างจาก Fund มืออาชีพ มอง Long Run > Short Run
- หลังจากการเลือกสนาม ขั้นต่อมาคือ วางแผนกลยุทธ์
- ก่อนวางกลยุทธ์ ต้องเข้าใจสภาวะพื้นฐานตลาดทุน
พื้นฐานตลาดประกอบด้วย 2 ส่วน
-- Swing ช่วงตลาดทิศทางไม่แน่นอน
-- Trend ช่วงตลาดไปทิศทางชัดเจน
- Model ที่ออกแบบ ต้องรับมือได้กับทั้ง 2 สภาวะ

- พวก Fund ต่างๆ ใช้กลไกลทางทุนนิยมเอาเปรียบตลอด ทั้งๆที่เราเป็นเจ้าของปัจัย

- ลึกๆของคนเรามีความต้องการ แต่ต่างกันในแง่ของ ปริมาณ และคุณภาพ

- การลงทุนแบบ ผลกำไรทบต้น (นำไปไรไปรวมกำต้น และสร้างผลตอบแทน) จำทำให้เรา >>
Turn winning system in to a losing system โดยไม่รู้ตัว
- เป็นเหตุผลที่ คนที่มี System ดี ไม่สามารถหากิน Long Run ได้ ดังนั้นจึงต้อง Unit Fix
- Unit Fix คือมีเงิน แบ่งเป็นกองๆ จากนั้นลงทุนในกรอบ อาจไม่ได้เยอะแต่ได้ชัว
- การแบ่ง Unit Fix เป็นการฝึกที่ทำให้ไม่ลงทุนเกินตัว
- พวก Fund มีกลยุทธ์ที่แน่นอน ทำธุรกรรมได้ทุกวัน หารายได้เล็กๆ เข้ากระเป๋า
- พวก Fund เน้น Game Theory มาก
-- มักจะไปลงทุน ที่มีรายใหญ่ (ทองคำ ,น้ำมัน)
- ออกแบบ โมเดลที่รู้จักแพ้บ้าง เราจะกลายเป็นผู้ชนะเอง

- แนวทางที่ดีสุด ไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีสุด แต่สามารถสำเร็จได้ง่าย
- แนวทางที่ยาก  โอกาศสำเร็จยาก จะให้ผลตอบแทนสูงมาก

พี่ต้านแบ่ง โมเดลเป็น 4 ส่วน
- DSM ตามสไตล์ ไม่ใช่ DSM แท้ (ตลาด Swing จะสะสมหุ้น และสร้างกระแสเงินสดแฝงได้)
- ป้องกันความเสี่ยงจาก DSM
- โมเดลตามเทคนิคใช้ Moving Average
- ป้องกันความเสี่ยงจาก เทคนิคง่ายๆ

Ex การเลือก Product (ตัวอย่างเลือก ETF)
- ค่าคอมถูก บางโบรคไม่มีค่าคอม
- วางแผนง่ายไม่ขึ้นก็ลง
- เม็ดเงินมาจากหลายส่วน (ส่วนหนึ่งมาจาก Market maker รักษาระดับให้ใกล้เคียงดัชนี)
ข้อเสีย
- ผลตอบแทนน้อย เมื่อเทียบกับหุ้นรายตัว

- การวางแผนพอร์ต สมมุติมีพอร์ต 50000 บาท (ต่อสู้โดยสัดส่วน) แบ่งเป็น 100 ส่วน ส่วนละ 500 บาท
A กองทหาร DSM 25 กอง = 500*25 = 12,500 บาท
B กองทหารคุ้มครอง DSM 25 กอง = 500*25 = 12,500 บาท
C กองทหารรบแบบกองโจร (TA) 25 กอง = 500*25 = 12,500 บาท
D กองทหาร อารักขากองโจร 25 กอง = 500*25 = 12,500 บาท
- สมมุติ มองกรอบ Set50 อยู่ที่ 400 - 600 (200 จุด)
- เราจะมีกองรบ ทั้งหมด 20 กว่ากอง จะได้สนามรบกองละ 10 จุด
- ถ้า Set ลงมา 480 จุด เราจะส่งกอง A(1) และB(1) เข้าสู่สนามรบ อย่างละ 100 หุ้น และรบทันที
- หากกำไรภายในวันนั้น B(1) จะออกจากสนามรบทันที (TP ทันที)
- ถ้า Set ขึ้นมา 490 จุด เราจะส่งกอง A(2) และB(2) เข้าสู่สนามรบ
- หากกำไรภายในวันนั้น B(2) จะออกจากสนามรบทันที (TP ทันที)
- ถ้า Set ขึ้นมา 500 จุด >> กอง A (1) ที่คุม Zone  480 ออกจากสนามรบ
- ถ้าหุ้นตกลงมาเรื่อยๆ เราก็เล่นตาม level
- DSM คือทหารที่รบอย่างมีวินัย
- กอง(C) และกอง(D) จะเข้าก็ต่อเมื่อได้รับสัญญาณทางเทคนิค (อาจใช้ Moving Average (ระบุเทรน))
- ถ้า Moving Average  ยืนเหนือเส้น ส่ง C(1) และ D(1) เข้ารบ
- หาก หากสัญญาณถูก  D(1) ออกจากสนามรบในวันนั้น
- ส่วน C(1) ทำตามสัญญาณ รอสัญญาณออก
- หากเดาผิดก็ไม่เป็นไร รอสัญญาณต่อไปส่ง C(2) และ D(2) เข้ารบ
** การลงทุนแบบนี้ไม่ใช่การลงทุนแบบ ปกติหรือเก็งกำไร แต่เป็นการครองพื้นที่ (ไม่ควร Cut Loss)
** กอง(B) และกอง(D) หากกำไรให้ออกก่อนปิดตลาด (ป้องกันความเสี่่ยงในวันถัดไป)
** อาจมองเห็นว่ามีการซื้อขายไม่เยอะ แต่หัวใจสำคัญ คือกินยาว
A เป็นการฝึกวินัย
B เป็นการฝึกสัญชาติญาณ ในการเทรด หากจุดออกทำกำไรใน Zone
C เป็นการฝึก อ่านกราฟ (TA)
D เป็นการฝึกสัญชาติญาณ ในการเทรด หากจุดออกทำกำไร

สิ่งที่สำคัญ
- Money Management สามารถเปลี่ยน ผู้แพ้ระยะสั้นเป็นผู้ชนะระยะยาว
ส่วนผู้ชนะระยะสั้น จะกลายเป็นผู้แพ้ระยะยาว
- วินัย จะฝึกอะไรก็แล้วแต่ต้องใช้วินัย เราต้องใชเวลาอยู่กับสิ่งนั้นนาน
- สัญชาติญาณ เป็นส่วนสำคัญทำให้เราต่างจากคนอื่น

--------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/2008/08/I6908867/I6908867.html

Stock : NAV ? : EP10

NAV ?
- มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV)
- มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของกองทุนรวม >> ตลอดจนผลประโยชน์ต่างๆ ที่กองทุนรวมได้รับ
- โดยหักค่าใช้จ่าย และหนี้สินรวม
- คำนวณมูลค่าทรัพย์สินตามราคาตลาด >> เพื่อสะท้อนถึงมูลค่าจริงตามตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

- ทรัพย์สินที่ซื้อขายในวันที่คำคำนวณ จะใช้ราคายุติธรรม หรือราคาเสนอซื้อครั้งสุดท้ายคำนวฯแทน

มูลค่าทรัพย์สินตามตลาด - ค่าใช้จ่ายหนี้สินกองทุนรวม = มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ

- กองทุนปิด จะประกาศให้นักลงทุนทราบวันสุดท้ายของสัปดาห์
- กองทุนเปิด ประกาศให้ทราบทุกวันที่มีการซื้อขายหน่วยลงทุน

- ราคาที่ประกาศ แสดงในรูป "มูลค่าหน่วยลงทุน"
- สามารถคำนวณ NAV ต่อหนวยโดยการนำ ราคาNAV มาหารด้วย
จำนวนหน่อยลงทุนที่ออกจำหน่ายแล้วทั้งหมด
- มูลค่าอาจสูงหรือ ลดลงก็ได้

มูลค่าต่อหน่วย(NAV ต่อหน่วย) = มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ / จำนวนหน่วยลงทุน

- มูลค่าต่อหน่วย สูงขึ้น มากกว่าตอนลงทุนครั้งแรก = กำไร
- มูลค่าต่อหน่วย ลดลง น้อยกว่าตอนลงทุนครั้งแรก = ขาดทุน

- มูลค่าของหน่วยลงทุนที่ประกาศ เป็นข้อมูลจากราคาทรัพย์สินในวันก่อนหน้าวันที่ประกาศ หนึ่งวัน

ประโยชน์
- เป็นตัวเลขที่บอกมูลค่าแท้จริงของ กองทุนรวม
- ตัวเลขบ่งบอก ซื้อหรือขาย กองทุนรวมนี้กี่บาท
- เป็นตัวเลขที่สะท้อนผลการดำเนินงานกองทุนรวม

ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคา NAV
- การประเมินมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนรวม (Valuation of Investments)
-- กองทุนรวมที่มีสภาพคล่องต่ำ หาราคาปิดได้ยาก
-- ทรัพย์สินที่ลงทุนไม่มีราคาตลาด
-- กองทุนรวมอาจใช้ราคายุติธรรม ตามหลักเกรณ์ที่กำหนดขึ้น
- การซื้อขาย ทรัพย์สินกองทุน
-- ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ NAV
- คุณภาพทรัพย์สินกองทุน
-- ทรัพย์สินที่มีคุณภาพ >> ได้รับผลตอบแทนดี >> NAV เพิ่ม
- ผลตอบแทนที่ยังไม่ได้รับ
-- กำไร ขาดทุน ที่เกิดขึ้นจากการตีราคาทรัพย์สิน >> NAV โดยตรง
- หนี้สิน และค่าใช้จ่ายกองทุน
-- กองทุน หนี้สินสูง ,ค่าใช้จ่ายสูง >> NAV ลดลง
-- กองทุน หนี้สินสูง ,ค่าใช้จ่ายน้อยลง >> NAV เพิ่มขึ้น
- จำนวนหน่วยลงทุนที่จหน่าย ไถ่ถอน
-- มีการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนเพิ่ม >> NAV สูงขึ้น
-- ไถ่ถอนหน่วยลงทุน >> NAV ลดลง
- การจ่ายปันผล
-- มีการจ่ายปันผล >> NAV ลดลง
-- ปันผลจ่ายจาก กำไรสะสม หรือกำไรสุทธิกองทุน

*
- การตัดสินใจซื้อกองทุน ไม่ควรดู ที่ NAV ต่ำหรือสูง ควรดูที่การเปลี่ยนแปลง NAV มากกว่า
- NAV ใช้เปรียบเทียบกองทุน รวมแต่ละกองไม่ได้
-- แต่ละกองทุนถือทรัพย์สินที่ต่างกัน
- หากต้องการเปรียบเทียบกองทุนควนพิจราณา
- นโยบายการลงทุน
- ผลตอบแทนในอดีต
- ความเสี่ยง

-----------------------------------------------------------------------
อ้างอิง :
Link 1 : https://www.set.or.th/education/th/begin/mutualfund_content03.pdf
Link 2 : https://aommoney.com/stories/อื่นๆ/nav-กองทุนรวมคืออะไร-ค่าเท่าไหร่ถึงจะดี/24562#jadygm3i31

DSM : Densri Method : EP13 [Pantip]

เป็นจุดอ่อนที่ DSM ควรระวัง
- ต้องเข้าใจแนวคิด DSM
- เงินเย็น เป็นสิ่งแรกที่การลงทุนทุกอย่างควรยึดติด
- ระยะ สองปีแรก เป็นระยะหว่านเมล็ดพันธุ์ หลังจากนั้นเก็บเกี่ยว
- Cash Flow (CF) จะได้เยอะตอนหุ้นตก
- ถ้ายังมีคำว่ามูลค่าพอร์ต จะยังไม่เข้าใจ DSM
- แยกให้ออกระหว่าง ทำกำไร กับ ลงทุนเพื่อรายได้ (คนละด้าน)
- 30% กองหลังเป็นไปได้อย่ายุ้งกับมัน เพราะซักวันมันจะช่วยเรา
- ขาขึ้นก็ทำ Cash Flow ได้ เพราะมี 7 กองที่เหลือ

คำถาม 10 ข้อ ? (ตอบตามความเข้าใจ)
1.) ทำอย่างไรจึงจะซื้อหุ้นคืนได้ทั้งหมด
- ซื้อคืนได้หมด
- เมื่อหุ้นขึ้นจนถึงจุดที่ไม่น่าเป็นห่วง (20 - 30 ช่อง)
- สามารถนทไปซื้อหุ้นตัวใหม่ทำ CF ได้
- อาจขายหุ้นที่แปลง ร่างมาตัวเดิม
2.) ซื้อคืนได้หมดแล้ว หุ้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น จะทำอย่างไรกับหุ้นในมือ
- สามารถ 7 กองหน้าทำกำไร ยามขาขึ้นได้
3.) การวัดผลของการดำเนินงาน ( พอร์ตหุ้น )   ใช้อะไรเป็นตัววัดบ้าง
- จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น
- กสงฝ. ที่เพิ่มมากขึ้น
4.) หน้าที่ของหุ้นในพอร์ต คืออะไร
- สร้างรายได้
- ออกลูกออหลาน
5.) หน้าที่ของกองหลัง คืออะไร
- อย่ามองเป็นหุ้นคุมพื้นที่ >> เงินสำรองาสำหรีบขยายงานยามฉุกเฉิน
- เป็นแหล่งเงินสำรองรองรับความผิดพลาด จากการดำเนินงาน
6).หน้าที่ของกองกลาง คืออะไร
- ทำกำไรขณะหุ้น SW
7.) หน้าที่ของกองหน้า คืออะไร
- โจมตี ทำกำไรในส่วนต่างๆ เมื่อราคาสูงขึ้น
8.) หน้าที่ของ  กสงฝ  คืออะไร
- เพิ่มหุ้น ,ลดต้นทุน , รายได้ ,เงินสำรอง
9.) หน้าที่ของเงินสำรองหนี้  25 % คืออะไร
- ป้องกันเวลา กิจการมีปัญหา
ข้อ  10. หน้าที่ของเงินลงทุนเพิ่ม (อีก 75% ที่เหลือของ กสงฝ) ใช้งานอย่างไร
- ซื้อเพิ่มในหุ้นที่ขายได้ดี เหลือน้อย
- แต่ถ้าไม่มีหุ้นตัวนั้น ก็หาซื้อตัวใหม่ที่ดี

อ้างอิง
Link1 : http://topicstock.pantip.com/sinthorn/topicstock/I3349033/I3349033.html

Principles by Ray dalio : EP12

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

ความสัมพันธ์ ระหว่าง Step เหล่านี้
- การออกแบบ และลงมือทำ สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวคือ ทำเป้าหมายให้สำเร็จ
- บ่อยครั้งที่ เรารู้สึกดีเกี่ยวกับสิ่งที่ทำอยู่ และลืมเป้าหมายที่ออกแบบไว้ >>
พลาดที่จะทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย >> ดูไม่เหมาะสม เพราไม่ทำตามเป้าหมาย
Ex สร้างบ้าน การหาเงินเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมาย >> แต่เรากลับขายของเพลิน >>
ซื้อขายไปเรื่อยๆ >> เป้าหมายการสร้างบ้านจึงไม่สำเร็จได้
- จะดีกว่าไหมถ้าเราเชื่อมต่อ กระบวนการทำงาน กับเป้าหมายบนเส้นเดียวกัน
Ex อยากเป็นเทรดเดอร์ >> ต้องการเงินมาก >> เทรดไปเรื่อยๆ >> (อยู่บนเส้นทางเดียวกับเป้าหมาย)
- ถ้ากระบวนการเหล่านี้ทำงานอยู่ เราจะเปลี่ยนเป้าหมายได้ช้า >>
และมันจะช้าถ้าเราลงมือทำตามกระบวนการ
- การออกแบบกระบวนการทำงาน สามารถเปลี่ยนแปลงได้บ่อย
- การเปลี่ยนเป้าหมายบ่อย คือปัญหา >> เพราะเปลี่ยนบ่อย = เราเริ่มใหม่หมด

จุดอ่อนไม่สำคัญ ถ้าเราเจอวิธีแก้ไข
- ให้ถามตัวเองอีกครั้ง ว่า "เราต้องการอะไร" แล้วมันจริงหรือไม่ >> เราควรทำอะไรเกี่ยวกับมัน
- ถ้าถาม และตอบด้วยความจริงใจ เราจะก้าวไปหาสิ่งที่เราต้องการได้เร็ว

ถามตัวเองว่า อะไรคือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดที่ขวางระหว่างเรา กับสิ่งที่เราต้องการ
- ทุกคนมีจุดอ่อน
- จุดหลักที่แตกต่าง ระหว่างคนประสบความสำเร็จ กับไม่สำเร็จ >> คนไม่สำเร็จ ไม่ค้นหา ไม่ยอมรับ
แต่คนสำเร็จทำ

มันยากที่มองตัวเองด้วย 2 เหตุผล
1.) คนส่วนมากไม่มองจุดอ่อนตัวเองเพราะ "กำแพงอีโก้"
- จุดอ่อนน่าอาย (ถูกสอนมา)
- เราจะมีประสิทธิภาพ และมีความสุข ถ้าเรารู้จักมัน และเผชิญหน้ากับมัน
2.) การมีจุดอ่อนนั้นเหมือน สูญเสียประสาทบางอย่าง (เสียแขน ขา)

- การที่เราแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราขาดอะไร เป็นความเจ็บปวดทรมาน
- แต่มันคือสิ่งสำคัญ ในกระบวกการพัฒนา
- ถ้าเราเผชิญมัน >> จะได้สิ่งที่ต้องการในชีวิต
- เปิดใจ และยอมรับให้คนอื่นช่วย ให้เขาแนะนำวิธี และเราเป็นคนเผชิญกับมัน

เราคิดอย่างไร กับจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเรา ที่ขวางไม่ให้เราไปถึงจุดหมาย มันคือสิ่งที่เราวิ่งหาบ่อยๆ
- คนที่ไม่ถึงเป้าหมาย เขาพลาดข้อใดข้อหนึ่ง หรือมากกว่าใน 5 Step นี้
- แต่ถ้าเราไม่เก่งใน Step ไหน >> ไม่ใช่ปัญหาถ้าเราเข้าใจว่าเราไม่เก่ง >> สามารถชเชยได้โดยหาคนช่วย
Ex คนที่ทำงานได้แย่ อาจทำงานร่วมกับคนที่ออกแบบวางแผนได้ดี พวกเขาสามารถทำงานร่วมกันสำเร็จ
>> ถ้าพวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน
- ง่ายมากที่จะค้นหาว่าอะไร คือจุดอ่อนที่ขวางเราอยู่
-- ตรวจสอบ Step ที่เราพลาด
-- ไม่มีทักษะพอที่จะทำมันให้สำเร็จ
-- ตรวจสอบในทักษะที่เราขาด

ใน Step ไหนที่คิดว่ามีปัญหามากที่สุด ?
คุณภาพแต่ละ Step เรามีความคาดหวังว่ามันมากพอไหม ?
5 Step Process สำหรับการบรรลุในสิ่งที่ต้างการ
ลำดับความสำคัญ
เป้าหมาย >> ปัญหา >> วินิจฉัย >> ออกแบบ >> ปฎิบัติ

- สิ่งสำคัญสำหรับเรา >> จะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เราต้องการ >> เป้าหมาย
- การพยายามไปให้ถึงเป้าหมายเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหา >> วินิจฉัยมัน >> หาสาเหตุ >>
ออกแบบแผนการรับมือ >> ลงมือทำ
- ฝึกฝนทักษะตามแบบที่แผนต้องการ

ขณะที่เราออกแบบ และวางแผนของเรา เพื่อเป้ามหาย สิ่งเหล่านี้อาจช่วยได้
- ชีวิตก็เหมือนเกมส์  เราหาทางที่จะพิชิตมัน มีอุปสรรคคอยขัดขวางเราไม่ไห้ถึงเป้ามหมาย
- เราจะเล่นเกมส์นี้ได้ดีขึ้นเราต้องฝึกฝน
- เกมส์นี้ มีตัวเลือกมากมายในการตัดสินใจ และจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน
- เราไม่สามารถ หยุดยั่งปัญหา และตัวต่างๆที่เข้ามาได้ ดังนั้น >>
เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้า เป็นสิ่งที่ดีกว่า
- ความทรมาน จากปัญหานั้น ต้องการการแก้ไข >> อะไรที่ทำให้เราไม่มีความสุข >>
ให้เราพยายามแก้ไขมัน >> มันคงจะเป็นเรื่องตลกถ้าเรายอมต่อปัญหาที่เข้ามาหาเรา
- พวกเราล้วนมีการพัฒนาที่แตกต่างกัน และมันเป็นการตัดสินใจว่า ก้าวแบบไหนที่เราต้องการ
- กระบวนการจะดำเนินได้ดี ถ้าเรามีความแม่นยำ รวมถึงประเมินกำลัง หรือจุดอ่อน และพร้อมปรับปรุง

- ขณะที่ฟังจากข้างต้นเป็น ทฤษฎีค่อนข้างมาก >> แต่มันรวมสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันหมดแล้ว

Principles by Ray dalio : EP11

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

5.) ลงมือทำ
- ออกแบบแผนการดี >> ลงมือทำ
- เราต้องการที่จะ "ผลักดัน" >> เพื่อไปสู่เป้าหมาย
- การฝึกตนเองเป็นสิ่งจำเป็น >> ตามที่เราออกแบบไว้
- นิสัยการทำงานที่ดี เป็นสิ่งที่ต้องประเมิน
- เราจำเป็นที่ต้องรู้ว่า ในแต่ละวันเราต้องทำอะไร และฝึกฝนอะไร
- การจดสิ่งที่ต้องทำ และทำจัดลำดับความสำคัญ อย่างมีเหตุผล ช่วยให้ทำงานประสบความสำเร็จ
- คนที่มีนิสัยการทำงานที่แย่ คือการทำงานแบบ สุ่มเลือกไม่เป็นลำดับ

- ไม่ว่าเรา หรือใครก็ตามต้องทำตามแผน >> เราต้องจัดวัดตัววัดผล
- เราควรให้คนอื่นประเมินเรามากกว่า เนื่องจาก เขาไม่ลำเอียง
- ถ้าเราไม่สามารถทำตามแผนได้ เราต้อง วิเคราะห์ว่า เราจะแก้ไขมันอย่างไร

- คนที่ผ่าน Step นี้ได้ดี เขาจะสามารถจัดการแผนการที่วางไว้ได้
- พวกเขาจะโน้มน้าวตนเองให้ฝึกอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมสถาณการณ์ได้ดี
- พวกเขาจะคุ้นเคย กับผลลัพธ์ กับปริมาณงานที่มาก และผลักดันตนสู่เป้าหมาย
- ถ้าหากพวกเขา เริ่มเห็นว่า การดำเนินชีวิตประจำวัน ออกจากแผน
- พวกเขา จะวินิจฉัย และออกแบบ ปรับปรุงแผนการ ไปพร้อมกับชีวิตประจำวัน

- ถ้าเราไม่สามารถทำได้ดีใน Step นี้
- ให้ขอความช่วยเหลือ คนที่ประสบความสำเร็จ ใน Step นี้
- บางคนเขาไม่ถนัดที่จะปฎิบัติใน Step นี้ เขายังสามารถที่จะประสบความสำเร็จ >>
แต่เขาต้องมีความสัมพันธ์ กับคนที่ประสบความสำเร็จ ใน Step นี้

เราผลักดันตัวเองได้ดีแค่ไหน ?
เรามั่นใจแค่ไหน ในความสามารถที่จะผลักดันตัวเรา ?
ถ้าเรามั่นใจ ทำไม เราถึงมั่นใจ ?

Principles by Ray dalio : EP10

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

4.) ออกแบบแผนการ (กำหนดวิธีการแก้ไข)
- ระหว่างที่เราเดินทางสู่เป้าหมาย เราต้องเจอปัญหา
- เราต้องออกแบบแผนการที่จะผ่านไปให้ได้
- การออกแบบ เกิดขึ้นในกระบวนการทั้ง 2 สถาณการณ์
- การออกแบบแผนการสู่เป้าหมายที่ดี ส่วนมากจะมีแผนการจัดการปัญหายังไง
- การมีปัญหานั้นดี >> ทำให้เรารู้ว่าเราจะแก้ปัญหาอย่างไร >> สำรวจและกำจัดต้นเหตุปัญหา

ออกแบบแผนการเหมือนกัน การเขียนบทภาพยนต์ กำหนดไว้ว่า ใครทำอะไร ตอนไหนไปถึงตอนจบ

- จินตนาการเป้าหมายหรือ ปัญหาที่จะมาขวางเรา >> นึกวิธีแก้ปัญหา
- คิดถึงทีละปัญหา และหาเหตุ
- คิดถึง ผลกระทบหลังการแก้ปัญหา
- คิดเหมือน เครื่องจักรที่กล่าวไปก่อนบทหน้านี้

- การออกแบบแผนการที่ดีนั้น ต้องมองภาพใหญ่ไห้ออก และคิดตามว่าอยู่ตรงไหน
- ฉะนั้นเขียนแผนการลงบนกระดาษ และอย่าออกนอกแผน
- เราจะรู้ว่ากระบวนการทั้งหมด เราจะพึ่งใคร
- ระหว่างที่เดินตามแผน เราต้องเดินหน้า และถอยหลังได้ตลอดเวลา

- เมื่อออกแบบแผนการแล้ว ลงช่วงเวลาคร่าวๆ
- และเริ่มลงมือทำ
- ระหว่างทางจะเกิดสิ่ง 2 สิ่งที่ทำสลับกัน
-- ออกแบบแผนการ
-- เติมเต็มกระบวนการ (ลงมือทำ) ตามระยะเวลาที่คาดคะเน
สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ปรับแต่ง และการออกแบบแผนการที่ดี

- ไม่ใช้ทุกแผนจะสำเร็จ
- บางแผนต้องใช้เวลาที่นานมาก แต่ยังคงผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
- ผลลัพธ์ที่ไม่น่าพอใจ จะเป็นตัวกรีดให้เราออกจากเป้าหมาย
- การวางแผนต้องคิดให้หนัก ว่ามันติดขัดตรงไหนหรือเปล่า

- การออกแบบแผน ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานมาก (ชั่วโมง วัน)
- ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ มันก็เป็นเศษเสี้ยวของเวลาลงมือทำ
- การออกแบบสำคัญมาก เพราะเป็นตัวบอกเราว่าเราต้องทำอะไร ให้เกิดประสิทธิภาพที่ดี
- คนส่วนมากผิดพลาด เพราะ ไม่ยอมเสียเวลากับการออกแบบ >> ลงมือทำเลย ซึ่งเสียเวลามากกว่า

- คนที่ประสบความสำเร็จ จะมีความสามารถในการมองภาพรวม >> และเข้าใจว่าจะทำอย่างไร >>
จึงได้ผลลัพธ์แบบนี้
- เราไม่สามารถทำมันได้ดีในหมดทุกอย่าง เราต้องหาคนมาช่วยในด้านที่ไม่มี

เรามีความสามารถในการมองภาพรวมดีแค่ไหน ?
เรามั่นใจแค่ไหนว่า ความสามารถของเรานั้นแม่นยำ ?
ถ้ามั่นใจอะไรที่ทำให้มั่นใจ ?
จำไว้ว่า ให้ออกแบบก่อน ถ้าออกแบบจะทำให้รู้ว่าต้องทำอะไร ?

Principles by Ray dalio : EP9

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

3.) วินิจฉัยปัญหา
- เราจะมีประสิทธิภาพมาก ถ้าเราโฟกัส การวินิจฉัย และการวางแผนที่ดีก่อน >> แทนการแก้ปัญหาเลย
- ข้อผิดพลาดคนส่วนใหญ่คือ แก้ปัญหาเลย >> มันไม่ได้ทำให้ปัญหาลดลงเลย

เราต้องใจเย็น และใช้เหตุผล
- เมื่อวินิจฉัยปัญหา และตรวจสอบแล้ว อาจส่งผลต่อการเกิดอารมณ์ของเรา
- อารมณ์จะทำให้การตัดสินใจของเราแย่ลง
- ให้เราใช้เหตุผล จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
ดังนั้นถ้าเรารู้สึกถึงการเกิดอารมณ์ เราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้เราใจเย็น และมีเหตุผลมากขึ้น

เราต้องหาต้นเหตุของปัญหา
- เราต้องใช้เหตุผลลึกๆ ในการค้นหาต้นเหตุของปัญหา
- สิ่งที่แบ่งแยกระหว่าง ต้นเหตุกับ สิ่งที่ใกล้เคียงต้นเหตุ คือ
-- สิ่งที่ใกล้เคียงต้นเหตุ เกิดจากการกระทำ
Ex ขึ้นรถไฟไม่ทันเวลา
- สิ่งที่ใกล้เคียงต้นเหตุ - ฉันไม่ได้เช็คตารางเพราะฉันลืม
- ต้นเหตุ -ลืม
ทำให้เราสามารถ แก้ปัญหาเพียงแค่เราจัดการต้นเหตุ

ยอม และเรียนรู้ความผิดพลาด ? หรือ
เรียนรู้ความผิดพลาดจากคนอื่น ที่เข้าสามารถแก้ปัญหาได้แล้ว ?
- ปัญหาส่วนมากเกิดจากความผิดพลาดของเรา
- บางครั้งเรายากที่จะตรวจสอบ และยอมรับความผิดพลาด (ทำเป็นมองไม่เห็น)
- อาจเพราะ อีโก้ หรือเรามองสิ่งนั้นสั่นเกินไป >> ทำให้เราหาความผิดพลาดไม่เจอ
คนส่วนมาก
- ยอมแพ้เมื่อความผิดพลาดนั้นเผยออกมา
- และต่อต้านความผิดพลาดของคนอื่น
- การเพิกเฉยต่อความผิดพลาด >> เราไม่พัฒนาตนเอง

- ความทรมานที่มาพร้อมกับ การค้นหาตนเอง "Growing Pains"
- ความทรมานที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับการเติบโต "ไม่เจ็บ ไม่โต"
- คนที่เข้าใจ จะทราบว่าไม่มีใครสมบูรณ์พร้อม
- ความต้องการมักขัดกับเป้าหมาย
Ex อยากดูดี แต่ไม่ออกกำลังกาย เพราะ รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ
(ไม่สบายตัว รู้สึกขัดธรรมชาติ)
- ถ้าเราทำให้รู้สึก เมื่อมองข้ามความทรมาน จะทำให้เรารู้สึกเป็นธรรมชาติ
- เราจะมีความสุขจากการออกกำลังกาย >> และได้ผลลัพธ์ที่ 2 โดยมองข้ามผลลัพธ์แรก

ความทรมาน + การตอบสนอง = กระบวนการพัฒนาตนเอง

- นี้คือความเป็นจริง และเราต้องเผลิญหน้ายอมรับกับมัน
- นี้คือข้อเท็จจริงเพื่อให้เราประสบความสำเร็จ
- เราต้องมีความตั้งใจ มองพฤติกรรมของเรา ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาได้

บางปัญหา เราไม่สาเหตุได้ ฟ้าผ่าลงมา
- ปัญหาที่เกิดมันเกินความสามารถของมนุษย์

สิ่งสำคัญในการ วินิจฉัยปัญหา คือ เหตุผล มองถึงความเป็นไปได้ และหลายๆอย่าง
เต็มใจที่จะเชื่อคนที่มาช่วยเหลือเรา และลดอีโก้ลง
การวินิจฉัยปัญหา เราเต็มใจที่จะเชื่อ "ประสาทสัมผัส" ได้อย่างไร ?
เราเต็มใจที่จะหาสาเหตุเหมือนคนอื่นหรือไม่ ?
เรามีความมั่นใจแค่ไหนว่าวินิจฉัยปัญหาถูกต้อง ?
ถ้าเรามั่นใจ อะไรทำให้มั่นใจ ?

Principles by Ray dalio : EP8

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

2.) ตรวจสอบ และไม่ยอมต่อปัญหา
- หลังจากวางเป้าหมาย >> วางแผน >> ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
- บนเส้นทางเราต้อง เผชิญ กับปัญหาที่ต้องวิเคราะห์มัน
- แผนการที่วางไว้ปรับตามสถาณการณ์ได้
- ตรวจสอบ และไม่ปล่อยปัญหาไป

ปัญหาส่วนมากจะวิ่งเข้าหาเรา
- เมื่อเจอปัญหา คือโอกาศที่จะพัฒนา
- ยิ่งทรมานกับปัญหามากเท่าไหร่ >> ปัญหาก็ยิ่งใหญ่ขึ้น และน่ากลัวขึ้น
- ลำดับการแก้ปัญหา
-- เข้าใจปัญหา
-- ไม่ยอมให้กับปัญหา

- ถ้าเราไม่สำรวจปัญหาของเรา เราจะไม่สามารถแก้ไขมันได้ >> เราจะไม่สามารถเดินต่อไปยังเป้าหมาย
- การเผชิญหน้ากับปัญหาเป็นสิ่งที่ดี

- คนส่วนมากไม่ค่อยทำ แต่ คนที่ประสบความสำเร็จมักทำ

- ทั่วไป คนไม่สำเร็จในการสำรวจปัญหาของตนเอง เพราะขาดความตั้งใจ หรือขาดทักษะ เหล่านี้
-- การยอมรับความจริงอันโหดร้าย >> ความจริงโหดร้าย >> ทำเป็นมองไม่เห็น มองข้าม
-- กังวลว่าคนอื่นมอง >> กลัวคนอื่นมองตัวเองมีจุดอ่อน >> ไม่ยอมรับตัวเอง >> ไม่ยอมรับความจริง
- บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจปัญหาดีพอ

- บางคนสามารถแยกปัญหาใหญ่ออกจากเล็กได้
- เราสามารถพบเจอปัญหาได้ทุกๆที่
- ถ้าเราไม่สามารถแยกได้ เราจะไม่สามารถตรวจสอบปัญหาได้

- เราไม่สามารถทำอะไรดีได้ทุกเรื่อง
- บางครั้งเราจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ
- เผชิญหน้ากับปัญหา และวิเคราะห์ ว่าเราควรอยู่จุดไหน

- เมื่อเราตรวจสอบปัญหาแล้ว >> มีเหตุผล และมั่นคง

- อารมณ์ไม่ช่วยแก้ปัญหา
- การมีเหตุผลเท่านั้นที่ช่วยเราได้
- ความทรมานจะใหญ่ขึ้นเพื่อนทดสอบตัวเรา >> ให้รางวัลกับเราหากผ่าน

- ลองคิดเหมือน จิ๊กซอ ถ้าเราต่อ สำเร็จเราก็จะได้รางวัล
- ทำไปเรื่อยๆ จะทำให้เราพัฒนาได้เร็ว

- ถ้าเราเป็นคนใช้เหตุผล >> ควรตื่นเต้นเมื่อเจอปัญหา >> การสำรวจมันจะช่วยให้เราใกล้เป้าหมาย

เราเข้าใจปัญหาดีแค่ไหน ?
เรามั่นใจในความสามารถ ของเราที่ทำให้เราเข้าใจปัญหาถูกต้อง ?
ถ้ามั่นใจอะไรที่ทำให้มั่นใจ ?

พิถีพิถันในการระบุปัญหา
- พิถีพิถันต่อปัญหา เป็นสิ่งสำคัญ
- ปัญหาที่แตกต่าง ต้องแก้ด้วยวิธีที่แตกต่างด้วย
Ex ถ้าปัญหาเยอะ เราต้องแก้ปัญหาที่เล็กที่สุดก่อน >> สร้างความมั่นใจ >> ในการแก้ปัญหาใหญ่
- ถ้าปัญหาคือ ขาดทักษะ >> แก้ไขด้วยการฝึกฝน ,ขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
- ความพิถีพิถัน จะช่วยแก้ปัญหาอย่างแม่นยำ >> แก้ปัญหาสำเร็จ

อย่าสับสน ปัญหากับสาเหตุ
Ex "ฉันนอนไม่พอ" >> มันไม่ไช่ปัญหา แล้วสาเหตุคืออะไร ? >> หาา
ฉันไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเหนื่อย >> ปัญหา

เมื่อพิสูจน์ ปัญหาได้แล้ว เราต้องไม่ยอมมัน
- ยอมให้กับปัญหา >> เป็นตัวเดียวกับ ไม่พิสูจน์ปัญหา แต่ต้นเหตุของปัญหา นั้นแตกต่างกัน
- ยอมให้กับปัญหา อาจเพราะคิดว่า ไม่สามารถทำได้ ,แก้ไขได้ ,ไม่อดทนกับมัน
- คนที่ยอมให้กับปัญหา นั้น แย่เพราะ >> ไม่มีแรงผลักดัน >> ทำไม่สำเร็จ
- ถ้ามีแรงผลักดัน >> สามารถประสบความสำเร็จได้ >> แม้จะไม่มีความสามารถทำอะไรบางอย่าง >>
เพราะสามารถขอความช่วยเหลือคนอื่นที่มีความสามารถ

เรายอมให้ปัญหากี่ครั้ง ?
กี่ครั้งที่เราคิดว่าการยอมให้กับปัญหา นั้นถูกต้อง ?
ถ้าเรามั่นใจว่าการตัดสินใจนั้นถูก ทำไมเราถึงมั่นใจ ?

- คนที่ทำ Step การพิสูจน์ปัญหา แทนการยอมให้กับปัญหา นี้ได้ดี >>
จะเก่งในการเข้าใจ และประติดประต่อภาพรวมได้ดี

- จำไว้ว่าเราต้องทำแต่ละขั้นตอน แยกกันอย่างชัดเจน

- เราสามารถ ตรวจสอบปัญหา โดยปราศจากความคิดที่จะแก้ได้ไหม >>
ลิสต์ปัญหาออกมา โดยปราศจากความเป็นไปได้ในการแก้ปัญหา >>
เราจะไปขั้นตอนต่อไป เมื่อเราแก้ปัญหาเหล่านี้แล้ว

Stock : Credit ,Line : EP9





Credit limit ?
- วงเงินที่สามารถลงทุนได้ในแต่ละวัน (โอนเงินมากเท่าไหร่ ก็ลงทุนได้แค้นี้)
- ป้องกันรายใหญ่เปิด เป็นรายย่อย (โอนเงินครั้งแรกจำนวนมาก)

Line Available ?
- เป็นจำนวนเงินที่ ซื้อขายได้ทันที กด ซื้อ line ลด แม้ Order จะยังไม่ Match
- เป็นจำนวนเงินที่เมื่อซื้อ ขายจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง
- ถ้าขาย (ได้เงิน) Line Available จะเป็น + และรอเงินเข้า Cash balance แบบ T + 3

Cash Balance ?
- เป็นยอดเงินที่โอนเข้า
- เป็นจำนวนเงินที่ถอนได้จริง
- บางครั้งมีจำนวนน้อยกว่า Line

บางทีเปิด โบรคใหม่โบรคให้Credit limit โดยที่ยังไม่ฝากเงิน คือ ?
- โบรคพิจารณาจากทรัพย์สินที่เรามี ตอนเปิด

- เวลาลงทุนให้พิจารณาเงินจาก Line Available

อ้างอิง
Link 1 : https://pantip.com/topic/32020462
Link 2 : https://pantip.com/topic/30675001
Link 3 : https://pantip.com/topic/30643125
Link 4 : https://pantip.com/topic/33043380

Principles by Ray dalio : EP7

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

5 Step ให้เราได้สิ่งที่ต้องการในชีวิต (แบบเจาะลึก)
1.) กำหนดเป้าหมาย
- เราสามารถนึกอะไรก็ได้มนสิ่งที่ต้องการ แต่เราไม่สามารถได้มันทั้งหมด

- เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และยาก คือการกำหนดเป้าหมาย
- เพราะมันจะกดดันให้เราตัดสินใจ
-- อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ และเป็นไปได้ ในชีวิตของเรา
- สิ่งที่ต้องเจอสิ่งแรก คือข้อจำกัดพื้นฐาน
- ชีวิตเหมือนมีตัวเลือกมากมาย ที่ต้องลองให้หมด
- แต่เราไม่สามารถทำใด้ทั้งหมด เราต้องตัดบางอย่างออกไป
- เพื่อให้เราได้สิ่งที่ต้องการมากกว่า
- บางคนกลัวที่จะปฎิเสธตัวเลือกที่ดี กลัวเสียบางอย่างในชีวิต ที่เติมเต็มความสุข เช่นเงิน
- ผลที่ตามมาคือเขามีเป้าหมายมากเกินไป ในเวลาเดียวกัน
Ex อยากมีเพื่อนเยอะ อยากมีเงินเยอะ อยากมีกิจกรรมเยอะ ในเวลาเดียวกัน

มันสำคัญมาก ควรจำไว้ว่า
- บางอย่างที่ไม่เหมาะกับตัวเรา มันจะไม่มีความหมาย
- การเลือกว้่าอะไรเหมาะเป็นสิ่งที่ดี
- เพื่อไปถึงเป้าหมาย เราต้องตัดบางอย่างออกไป และจัดลำดับความสำคัญ
Ex อยากได้คะแนนเยอะ >> ตั้งใจอ่านหนังสือ >> ปฎิเสธเพื่อนชวนเที่ยว

ห้ามสับสน ระหว่าง "เป้าหมาย" กับ "ความอยาก"
- เป้าหมาย
-- สิ่งที่เราต้องการจะไปให้ถึง
- ความอยาก
-- สิ่งที่เราอยากได้ >> ขัดขวางเราให้ไปถึงเป้าหมาย
-- ความอยากคือ สิ่งที่ตอบรับในผลลัพธ์ แรก
Ex อยากสุขภาพดี >> อยากกินของอร่อย ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
- เป้าหมายเป็นสิ่งที่ ดี แต่ความอยากเป็นสิ่งที่ แย่
- แต่เราสามารถเลือก 2 อย่างได้
-- กินของอร่อย พร้อมออกกำลังกาย >> แต่ต้องรู้ผลลัพธ์ของมันด้วย >> กินไม่เต็มที่ หุ่นก็ไม่เต็มเหมือนกัน
- ส่วนมากความผิดพลาดมักเกิดจาก การมองระยะสั้นมากเกินไป จนลืมเป้าหมายระยะยาว

หลีกเลี่ยงการตั้งเป้าหมาย บนความคิดที่ว่าเราทำได้
- ทำแต่ละ Step แยกกันอย่างชัดเจน
- การคิดแบบนี้คือการรวบ Step >> ตั้งเป้าหมาย พร้อมคิดก่อนหน้า ว่าจะทำอย่างไร >>
มันเป็นกระบวนการที่ต้องทำอยู่ แล้ว
- เราต้องมีการสามารถในการเรียนรู้ ที่จะได้มันมา ถ้ามีความคิดสร้างสรรค์ และการบ้านหนักพอ
- เราสามารถ "โกงมันได้" >> เราสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น หรือทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด

เกือบไม่มีเหตุผลที่เราไม่ประสบความสำเร็จ หากเรามีทัศนคติเหล่านี้
- ทุกอย่างยืดหยุ่นได้ (สามารถหาคำตอบที่ดีจากใครที่ไหนก็ได้)
- ทุกอย่างตรวจสอบได้ (คำตอบที่ได้ จะดีหรือมากจากไหน) เราสามารถตรวจสอบและ ค้นหามัน

มีบางเป้าหมายที่ไม่สามารถสำเร็จได้ เนื่องจากยังเป็นไปไมไ่ด้
- เช่นการเป็นอมตะ หรือบินด้วยแขนของตัวเอง
- แต่ถ้าได้รับให้ทำ เราต้องหาหนทางเพื่อไปให้ถึงมัน (ความคิดอิสระ)
- ไม่ได้จำกัดว่าเป้าหมายที่เห็นจะทำได้ หรือไม่
- เป้าหมายสูง เพิ่มขีดจำกัด
- ถ้าหากเกิดผิดพลาดในการถึงเป้าหมาย >> อยากยังไม่มีความคิด หรือ
ไม่มีความยืดหยึ่นมากพอที่จะทำได้ ต้องย้อนกลับไปวางแผนแก้ปัญหาใหม่

การไปถึงเป้าหมายไม่ได้แปลว่าต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียว
- การถอยหลับเป็นอะไรที่ หลีกเลี้ยงไม่ได้
- เป้าหมายไม่ใช่ แค่สิ่งที่เราต้องการ แต่คือการลดความผิดพลาดให้มากที่สุด
- อาจเผชิญหน้า หรือถอดหลังได้
- เปรียบเหมือนกันการเล่นกอล์ฟ (ตกหลุมทราย หญ้า) >> แต่เป้าหมายคือหลุม

คนที่มีเป้าหมายใหญ่ และสามารถต่อแต่ละส่วนได้ดี
- ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีจุดอ่อน แต่เราสามารถขอความช่วยเหลือคนอื่นได้

จัดลำดับ
- ต้องรู้ว่าอะไรคือความต้องการอย่างแท้จริง โดยปราศจากระหว่าง เป้าหมายกับความอยาก
- อย่ากำหนดขีดจำกัดของตนเอง เพราะความคิดบางอย่างจะไม่ทำให้เราไปไหน

เราต้องการอะไรในชีวิต ?
อะไรคือเป้าหมายที่สำคัญที่่สุดของเรา ?
เราตั้งเป้าหมายได้ดีแค่ไหน ?
เรามั่นใจในความสามารถของเราไปถึงเป้าหมายแค่ไหน ?
ถ้ามั่นใจ แล้วทำไมเราถึงมั่นใจ (เพราะคนอื่นบอก หรือเพราะเรา) ?

Principles by Ray dalio : EP6

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio

5 ขั้นตอนที่จะช่วยให้เราได้สิ่งที่เราต้องการ
Intro
เป้าหมาย
- ช่วยกำหนดทิศทางของเรา
- วางแผนให้ได้มาซึ่งเป้าหมาย
- บนเส้นทางมักเจอปัญหา
- ปัญหา จะสร้างความทรมาน และส่วนใหญ่มักเกิดจากความผิดพลาดในจุดอ่อนของเรา
- เราเป็นคนเลือก ว่าจะจมกับปัญหา หรือแก้ปัญหา
- การแก้ปัญหาต้องแก้อย่างใจเย็น และแม่นยำ วินิจฉัยของปัญหา
- ถ้าเราวินิจฉัยปัญหาถูกต้อง เราจะวางแผนแก้ปัญหาได้
- เราต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อกำหนดแผน ตลาดกระบวนการ ในการแก้ปัญหา
- ต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ และท้าทายมัน (ยกน้ำหนักหนักขึ้นเรื่อยๆ)

ประกอบด้วย 5 Step
- มีเป้าหมายชัดเจน
- พิสูจน์ และอย่ายอมให้ เป็นปัญหาสู่เป้าหมาย
- วินิจฉัยปัญหาอย่างถูกต้อง
- ออกแบบแผนงานชัดเจน ในการจัดการปัญหา และไปถึงเป้าหมาย
- จัดเตรียมแผนการ และลงมือทำ

จุดสำคัญของกระบวนการนี้
- ต้องแยกแต่ละขั้นตอนออกกันชัดเจน มากกว่ารวมเข้าด้วยกัน
-- กำหนดเป้าหมาย ก็ทำอย่างเดียว
-- การรวมเข้าด้วยกันจะทำให้เกิดความสับสน
-- และมันจะเปลี่ยนเป็นผลลัพธ์ ระยะสั้น ทำให้ยากที่จะถึงเป้าหมาย
-- ทำทีละขั้นตอนดีกว่า
- แต่ละขั้นนตอนต้องใช้ความสามารถในการฝึกแตกต่างกัน
-- ถ้าขาดอะไรบางอย่างที่จำเป็น เช่นต้องใช้พรสวรรค์ >> สามารถแก้ไขได้ ด้วยการเรียนรู้
-- ให้ยอมรับในจุดอ่อนของเรา และออกแบบที่จะเรียนรู้กับมัน
-- เราสามารถขอความช่วยเหลือจากคนอื่นได้
- สิ่งที่คำคัญอีกอย่างคือ การมีเหตุผล มากกว่าอารมณ์
-- ถ้ามีอารมณืส่งผล ให้ใช้เวลาจัดการ จนปรารศจากอารมณ์

เรย์ แนะนำให้ใช้วิธี เพื่อลดความกดดันคือ
- ลองคิดว่าชีวิตเราเหมือนเกมส์
- ภารกิจ คือ คำนวณหาเส้นทางเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
- ในระหว่างที่เราเล่นเกมส์ เราจะได้ทักษะ >> ถ้าทำได้ดี เราจะได้รับทักษะที่สูงขึ้น
- เราไม่จำเป็นต้องมีทักษะในทุกๆด้าน เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
แต่เราจำเป็นต้องมีคือ
- รู้ว่าเขาต้องการอะไร
- รู้ว่าเราไม่มีอะไร
- คำนวณวิธีที่จะได้มันมา (เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับคนที่มี)

เกมส์นี้เป็นเกมส์ชีวิต
- มันคือชีวิตของเรา และจะคอยท้าทายเราตลอดเวลา
- ถ้าเราอยู่ร่วมกับมันได้ และเรียนรู้กับมัน >> เรามีโอกาศได้ในสิ่งที่ต้องการ
- ธรรมชาติมอบสิ่งที่เหมาะสมแก่เรา และไม่ให้อะไรง่ายๆ

- เราอาจเคยเล่นเกมส์ยากๆ >> ทำให้รู้สึกอึดอัด >> ถ้าเล่นนาน >> รู้สึกง่ายขึ้น
- ถ้าเราเก่ง เราจะค้นพบสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น และท้าทายขึ้น
- เราจะรู้สึกว่าข้ออ้างเช่น มันไม่ง่ายเลย หายไป เพราะเราควบคุมมันได้แล้ว
- เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่ามันยาก ลองคิดถึงเกมส์ระยะยาว และลงมือทำ >> เพิ่มโอกาศประสบความสำเร็จ

- ไม่มีอะไรที่ราบลื่น เสมอ
- ความผิดพลาดเป็นอะไรที่ต้องเจอ >> สำคัญที่ต้องเผชิญ
- การเรียนรู้มาพร้อมความผิดพลาดเสมอ
- ไม่มีจุดสิ้นสุด ในการเรียนรู้ระหว่างเล่นเกมส์ มีการตัดสินใจจำนวนมากอยู่ข้างหน้า
- ไม่สำคัญว่า ความผิดพลาดมีมาก >> เป็นโอกาศบันทึกสถิติความสำเร็จ

Principles by Ray dalio : EP5

ตกตะกอนความรู้ที่ได้จากการอ่าน Principles by Ray dalio [5]

เรา 2 คน และเครื่องจักรของเรา
- คนที่ประสบความสำเร็จ จะมีวิสัยทัศน์ ที่กว้าง (มองจากมุมสูง)
- โดยสามารถ มองลงไปและออกแบบ เครื่องจักร ผู้คน ทำในสิ่งที่ถูก เพื่อผลลัพธ์ที่ต้องการ
- เครื่องจักรสามารถพัฒนา โดยวัดผลตอบแทน จากผลลัพธ์
- เครื่องจักรสร้างขึ้นโดยเป้าหมาย
ผังแสดงผลลัพธ์

จากผังแสดงให้ทราบว่า
- เป้าหมายเป็นตัวกำหนด เครื่องจักรที่เราสร้าง
- เครื่องจักร สร้างผลลัพธ์ เปรียบเทียบว่าถึงเป้าหมาย หรือไม่ ?
- ผลลัพธ์ที่ได้ตรงตามเป้าหมายหรือเปล่า ?
Ex เล่นหมากรุก ต้องมีการจัดตำแหน่งของ หมากตาต่างๆ และตัวละคร
ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนไป เรื่อยๆ แต่เกมส์ดำเนินอยู่
แก้ไข และทำไปเรื่อยๆ จนได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ถ้าพัฒนาไปเรื่อยๆ จะมีผลลัพธ์แบบ Linear Function

- มันคือ "Higher Level Thinking"
- มุมมองของเราคือคนที่มองลงมาที่เครื่องจักร
- หน้าที่ของเราคือ  ดีไซน์ จัดการ พัฒนาเครืองจักรของเราให้เป็นสิ่งที่เราต้องการ

- คิดเหมือน มีเรา 2 คน
- คนที่ 1 คือ คนที่ดีไซน์ และมองภาพรวม
- คนที่ 2 คือ คนที่มีส่วนร่วม ไล่ตามภารกิจ
- คนที่ 2 เป็นทรัพย์ากรของ คนที่ 1  >> ทำในสิ่งที่ คนที่ 1 ต้องการ
- จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าหาก คนที่ 2 ไม่ทำอะไรเลย
(คิด แต่ ไม่ทำ)
Ex ถ้าเราเล่นฟุตบอลในตำแหน่งที่ไม่ถนัด จพส่งผลให้เราเล่นไม่ดี
ทั้งที่ความจริงเป้าหมายคือ ชนะร่วมกันTeam work
- ถ้าคนที่ 1 เห็นคนที่ 2 ไม่เหมาะที่จะทำงานนี้ ,ทำงานไม่ดี
- คนที่ 1 ต้องมีไหวพริบ เปลี่ยนคนที่ 2 และหาคนมาทำงานแทน
Ex วาดรูปไม่เก่ง ควรหาคนที่ถนัดมาทำแทนดีกว่า
- คนที่ 1 ควรมองคนที่ 2 ถึงทรัพยากรที่มี แล้วจัดการสร้างเครื่องจักร ให้บรรลุเป้าหมาย
- คนที่ 1 ไม่จำเป็นต้องลงไปทำงาน อื่น (ดีไซน์ และจัดการเครื่องจักรอย่างเดียว)
- ถ้าคนที่ 1 เห็นคนที่ 2 ทำงานไม่ดี จงไล่คนที่2 ออกไป
- คนที่ 1 ควรมีความสุข เพราะมีการปรับปรุงตัวเอง ทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ
- ถ้าคนที่ 1 เสียใจ เพราะ คนที่ 2 ทำอะไรทุกอย่างได้ไม่ดี
- คนที่ 1จะแย่เพราะไม่มีใครสามารถทำทุกอย่างได้

คนส่วนใหญ่ ไม่มองตัวเอง และคนอื่นอย่างซื่อตรง
ถ้าสามารถมองตัวเองอย่างเป็นธรรมได้ จะมีการพัฒนาตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ

กี่ครั้งแล้วที่เรา เห็นด้วยกับสิ่งที่ เรย์บอก ?
กี่ครั้งที่เราต้องการสิ่งที่ดีกว่านี้ ?
กี่ครั้งที่เราคิดว่าอ่านหนังสือ เหล่านี้เสียเวลาเปล่า ?

Stock : Set กับ Mai : EP8

Set ,Mai ?
Set
- ตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งระดมทุนระยะยาว
- บริษัทมีขนาดใหญ่
- ทุนชำระหลัง IPO ตั้งแต่ 300 ล้านบาทขึ้นไป

ผลการดำเนินงาน
- มีดำเนินงานต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 3 ปี ภายใต้ผู้บริหารชุดเดิม
- มีกำไรสุทธิในระยะเวลา 2 - 3 ปี ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท

------------------------------------------------------------------------
Mai
- แหล่งระดมธุรกิจ ขนาดกลาง และเล็ก
- ทุนชำระหลัง IPO ตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป
- เน้นธุรกิจเติบโต มีแนวโน้มอนาคตดี

ผลการดำเนินงาน
- มีดำเนินงานต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 ปี ภายใต้ผู้บริหารชุดเดิม
- มีกำไรสุทธิปีล่าสุดก่อนยื่น และมีกำไรสะสมในปีก่อนยื่น

------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
Link 1 : http://www.dcs-digital.com/setweb/downloads/2557q2/20140902_set.pdf

Stock : ตัวละครในตลาด :EP7

ตัวละครในตลาด
- สถาบัน ,บริษัทหลักทรัพย์ ,ต่างชาติ ,รายย่อย ?
- บ่งบอกถึงสภาพโดยรวมของตลาด

--------------------------------------------------------------------------------
สถาบัน
- กองทุนธนาคาร ,สถาบันการเงิน
- นำเงินไปลงทุนอีกต่อหนึ่ง IMF ,RMF
- ผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ตามรูปแบบของกองทุน

บริษัทหลักทรัพย์ (Prop Trade)
- ตัวแทนซื้อขายหุ้น เมย์แบงค์ ,บัวหลวง
- เป็นตัวเกิดพฤติกรรมราคาแปลกๆ เช่นมีการทุบ มีการเก็บ
- ทำให้ตลาดเกิดแรงซื้อ แรงขาย

ต่างชาติ
- เงินที่มากจากต่างชาติ ทั้งกองทุน และรายย่อย
- เม็ดเงินมีผลต่อ หุ้นขนาดกลาง ,ขนาดใหญ่ (เข้ามาช้อนหุ้น)
- อัตราดอกเบี้ย /นโยบายการลงทุน ต่างประเทศ มีผล
EX - การทำ QE ในต่างประเทศ เงินจากไหลจากแหล่งผลตอบแทนต่ำ >> ผลตอบแทนสูง

รายย่อย
- บุคคลธรรมดา เราๆท่านทั้งหลาย
- กลุ่มที่ทำให้มีแรงซื้อขาย บ่อยๆ

- ต่างชาติ และกองทุน เวลาเก็บของใช้เวลานาน
-- เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
-- อาศัยช่วง ราคาต่ำ และเหมาะสม (เก็บสะสม)

--------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลสรุปปริมาณการซื้อขาย
Link : https://marketdata.set.or.th/mkt/investortype.do
ข้อมูลสรุปปริมาณการซื้อขาย ย้อนหลัง
Link : https://www.set.or.th/th/market/market_statistics.html
ข้อมูลภาพรวมของตลาด
Link : https://goo.gl/Yq4Wc
ข้อมูลเจาะลึก หุ้นในวันที่มีการซื้อขายมาก
Link : https://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do

--------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง
Link1 :  https://www.tradegangster.net/single-post/2016/01/11/มารู้จักตัวละครในตลาดกัน

Stock : Short Selling :EP6

Short Sell ,Short Sald ,Short Selling ?- Short แปลว่า ไม่มี >> ลงทุนหุ้นแต่ไม่มีหุ้น
- เป็นการยืมหุ้นจาก โบรกเกอร์มาขายก่อน >> ซื้อคืนทีหลังในราคาต่ำกว่า
- ได้กำไรส่วนต่างราคา- ส่วนใหญ่เป็นพวกขาใหญ่ทำกัน
- นักลงทุนมักใช้วิธีนี้เมื่อคาดการณ์ว่าราคาจะตกลงอย่างมาก
- การขายชอร์ต ต้องทำในบัญชี มาร์จิ้นเท่านั้น

Ex - ยืมมะนาวลูกละ 10 บาท 1,000 ลูก
- ขายเฉลี่ยไปเรื่อยๆ (กดราคา) 9.90 >> 8.00
- ซื้อคืนทั้งหมดตอนราคา 8.00 บาท
- ได้กำไรจากส่วนต่าง (ซื้อถูกขายแพง)

ข้อมูลการขาย ชอร์ตสามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ 
Link : https://www.set.or.th/set/shortsales.do?language=th&country=TH

อ้างอิง
Link 1 : http://inform-invest.blogspot.com/2014/04/short-selling.html
Link 2 : https://pantip.com/topic/30754279
Link 3 : https://pantip.com/topic/30577242
Link 4 : https://pantip.com/topic/30585573

Stock : ประเภทหลักทรัพย์ :EP5


Common Stock (หุ้นสามัญ)
- ตราสารประเภทหุ้น ออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด
- ระดมเงินทุนจากประชาชน
- ผู้ถือหุ้นสามัญ มีสิทธิร่วมเป็นเจ้าของบริษัท
- ผู้ถือหุ้นมีสิทธิในการออกเสียงลงมติ ตามสัดส่วนที่ถือครอง
- ได้รับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล จากกำไรบริษัท
- ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นตามศักยภาพบริษัท
- มีโอกาสได้รับสิทธิ์จองหุ้นออกใหม่ เมื่อบริษัทเพิ่มทุน
- หากบริษัทเลิกกิจการ จะได้รับส่วนแบ่งในสินทรัพย์

---------------------------------------------------------------------------------
Foreign
- หุ้นสำหรับให้ชาวต่างชาติถือได้
- ป้องกันการครอบคลองกิจการจากช่างชาติ
- ต่างชาติถือได้ แต่ไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
- ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมหุ้นสามัญ
- มีสิทธิ์เกือบทุกอย่างคล้ายหุ้นสามัญ (เงินปันผล)
- ลงท้ายด้วย -F เช่น ABC-F
- นักลงทุนในประเทศ แนะนำซื้อขายกระดานหลัก เนื่องจากสภาพคล่องสูงกว่า


---------------------------------------------------------------------------------
Warrant (ใบสำคัญแสดงสิทธิ์)
- ใบสำคัญแสดงสิทธ์ซื้อหุ้นทุน
- สาเหตุที่บริษัทออก เพราะต้องการเงินทุน
- ส่วนมากแจกฟรี กับผู้ถือหุ้นเดิม เครื่องหมาย (XW)
- เครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง
- ให้สิทธิ์แก่ผู้ผู้ถือสาร สามารถซื่อหรือขายตามราคา
- ต้องใช้สิทธิ์ในเวลาที่กำหนด

ความเสี่ยงและ ผลตอบแทน
- ระยะเวลาในการใช้สิทธิ์
-- ระยะเวลาใช้สิทธ์สั้น >> ความเสี่ยงสูง
-- มูลค่าของ Warrant เกิดจากผลต่างระหว่าง ราคาหุ้นสามัญกับ ราคาใช้สิทธิ์แปลงสภาพ
-- หากมีการยืด จะทำให้ Warrant มีราคาสูง
- มูลค่า Warrant
-- ขึ้นอยู่กับ มูลค่าหุ้นสามัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
-- หุ้นสามัญผันผวน หุ้นWarrantผันผวนตาม
- ความเสี่ยงที่เกิดจาก ผู้ออกWarrant
-- ไม่สามารถปฎิบัติตามเงื่อนไขสัญญา
- สภาพคล่อง
-- ผู้ซื้อขาย บางทีไม่สามารถขายได้ในราคาเหมาะสม >> ขาดสภาพคล่อง
- อัตราดอกเบี้ย
-- อัตราดอกเบี้ยเพิ่ม >> มูลค่าปัจจุบันของราคาใช้สิทธิ์แปลงสภาพลดลง >> ราคาWarrant เพิ่มขึ้น
- การจ่ายปันผล
-- เมื่อบริษัทประกาศจ่ายปันผล >> หุ้นสามัญราคาลง >> Warrant ลดลง

มูลค่า Warrant ตามเวลา
- Warrant มักมีราคาที่ใช้สิทธิ์ สูงกว่าราคาหุ้นสามัญ
- ระยะเวลาเหลือ >> มูลค่ายิ่งสูง
- ตลาดขาขึ้นนักลงทุนมักเลือกลงทุน Warrant
-- Warrant มีราคาต่อหน่วยต่ำ >> การลงทุนมักได้กำไรสูง
- ก่อนตัดสินใจซื่้อควรพิจารณา วันหมดอายุของตราสาร
อ่านเพิ่มเติม
Warrant Link : http://yutaro-diary.blogspot.com/2017/09/0002-thai-stock-dsm-dsm-2.html

---------------------------------------------------------------------------------
DW
- ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ อนุพันธ์ (Derivative Warrants)
- เป็นสิทธิ์ในการซื้อหรือ ขายสินค้าอ้างอิง ณ ราคาในอนาคต
- ผู้ถือไม่ได้รับสินค้าอ้างอิง แต่สามารถทำกำไรจากส่วนต่าง เมื่อครบกำหนดอายุ

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- สิทธิ์ในการซื้อ (Call Dw)
-- ผู้ถือมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหากสินค้าอ้างอิงมีราคาปรับตัวขึ้น
- สิทธิ์ในการขาย (Put Dw)
-- ผู้ถือมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหากสินค้าอ้างอิงมีราคาปรับตัวลดลง

จุดเด่นของ DW
- มีการทำกำไรทั้ง 2 ทาง
- การลงทุนใน DW ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการลงทุนสินค้าอ้างอิงโดยตรง
- จำกัดการขาดทุนสูงสุดเท่ากับมูลค่าที่ซื้อขายไป

ความเสี่ยงของ DW
- ความเสี่ยงด้านราคา >> ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามที่คาด
- DW มีอายุจำกัด ไม่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว

ส่วนประกอบของ DW
- มูลค่าตามเวลา
-- ต้นทุนด้านเวลา ระหว่างรอสินค้าราคาเพิ่มข้นหรือลดลง
-- DW อายุคงเหลือมาก >> จะมีมูลค่าตามเวลาสูง
-- DW อายุคงเหลือน้อย >> จะมีมูลค่าตามเวลาต่ำ
-- มูลค่าของ DW จะลดลงเรื่อย จนเป็น 0 เมื่อวันที่ DW ครบกำหนด
- มูลค่าที่แท้จริง
-- คำนวณจาก ส่วนต่างระหว่างราคาใช้สิทธิ์ และสินค้าอ้างอิงในตลาด
-- จะมีค่าก็ต่อเมื่อ ผู้ถือมีการใช้สิทธิ์ตามที่ได้รับ
-- Call DW การที่ราคาใช้สิทธิ์ต่ำกว่าราคาตลาด
-- Put DW การที่ราคาใช้สิทธิ์สูงกว่าราคาตลาด

สถานพของ DW และการใช้สิทธิ์
- สถานะ In-The-Money (ITM) >> สถานะมีกำไร
- สถานะ Out-Of-The-Money (OTM) >> สถานะขาดทุน
- สถานะ At-The-Money (ATM) >> ราคาเท่าทุน
(ก่อนซื้อแนะนำดูวันใช้สิทธิ์ และวันหมดอายุ)

ชื่อย่อ DW บนกระดานซื้อขาย
- UUUUIICCYYMMA
- UUUU >> ชื่อย่อ 4 หลักของสินทรัพย์อ้างอิง
- II >> รหัสผู้ออก 2 หลัก (หมายเลขบริษัท สมาชิก ตลท.)
- C >> ประเภท DW (Call >> C ,Put >> P)
- TTMM >> ค.ศ. ของเดือนของวันซื้อขายวันสุดท้าย
- A >> รุ่น เรียงลำดับจาก A-Z

---------------------------------------------------------------------------------
ETFs
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก
Link : http://yutaro-diary.blogspot.com/2017/10/0019-thai-stock-etf.html

---------------------------------------------------------------------------------
Unit Trust
- การลงทุนในหน่วยลงทุน (Unit Trust)ของกองทุนรวม(Mutual Fund)
- หลักทรัพย์ ออกขายโดยบริษัทจัดการลงทุน
- เพื่อระดมเงินเข้ากองทุนรวมที่จัดขึ้น
- ผู้ถือหน่วยลงทุนมีฐานะร่วมเป็นเจ้าของกองทุนนั้นๆ
- มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลจากกำไรที่เกิด

สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก
Link : https://yutaro-diary.blogspot.com/2017/10/0022-thai-stock.html

---------------------------------------------------------------------------------
Preferred Stock (หุ้นบุริมสิทธิ์)
- เป็นตราสารทุนชนิดหนึ่ง กึ่งหนี้ และกึ่งเจ้าของ
- เงินปันผลมีอัตราตายตัว แม้บริษัทไม่มีกำไร
- กรณีบริษัทเลิกกิจการ
-- ผู้ถือมีโอกาศเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัทจากเจ้าหนี้ ก่อนหนี้ก่อนหุ้นสามัญ
-- ถ้าไม่มีสินทรัพย์ ก็ไม่ได้รับเงินคืน
- มีไม่มากในตลาดหลักทรัพย์
- มีการซื้อขายน้อย (สภาพคล่องต่ำ)
- จุดสังเกตได้จากสัญลักษณ์ -P ท้ายอักษรย่อหุ้นสามัญ

หุ้นบุริมสิทธิ์ แบ่งเป็น 4 ประเภท
- หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดสะสม (Cumulative Preferred Stock)
-- ผู้ถือหุ้นได้รับปันผลในปีที่ไม่มีการจ่ายปันผล
- หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดไม่สะสม (Non - Cumulative Preferred Stock)
-- ปีใดไม่ได้รับเงินปันผล ยกยอดไปปีต่อไปไม่ได้
- หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดร่วมรับ (Participating Preferred Stock)
-- ผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล ร่วมกับหุ้นสามัญ
- หุ้นบุริมสิทธิ์ชนิดไม่ร่วมรับ (Non - Participating Preferred Stock)
-- หุ้นบุริมสิทธิ์ ได้รับเงินปันผลในอัตราที่กำหนด

ข้อดี
- ความคล่องตัว และยืดหยุ่นสูง
-- เงินปันผล ไม่เป็นภาระผูกพันที่ต้องจ่ายประจำ เปรียบเทียบกับหุ้นกู้ที่ได้รับดอกเบี้ยจากหนี้สินกิจการ
- ไม่มีกำหนดเวลาไถ่ถอนคืน
- หุ้นถือเป็นส่วนของเจ้าของ
- การออกหุ้นบุริมสิทธิ์
-- ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องออกหุ้นสามัญ จึงไม่กระทบราคาหุ้นสามัญ
- การออกหุ้นบุริมสิทธิ์ ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน
-- สามารถนำสินทรัพย์ชนิดอื่นไปค้ำได้

ข้อเสีย
- อัตราเงินปันผลจ่ายหุ้นบุริมสิทธิ์ สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้
- เงินปันผลไม่ถือเป็นค่าใช้จ่าย
-- นำไปหักภาษีกำไร
- มีค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินทุน
-- ค่านายหน้า (มักสูงกว่าหุ้นกู้)
- ความนิยมมีน้อย
-- มีความเสียเปรียบ ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในการบริหารงาน
-- ผู้จัดหาเงินทุน มีโอกาศหาเงินไม่ได้ตามกำหนด

การที่บริษัทแปลงหุ้นบุริมสิทธิ์ เป็นหุ้นสามัญ บริษัทได้อะไร
- บริษัทไม่ได้สิทธิ์ไม่ต้องผูกพันกับการจ่ายเงินปันผล
- ผู้ถือหุ้นมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของลดลง

---------------------------------------------------------------------------------
TSR (Transferable Subscription Right)
- ตราสารบริษัทออกแก่ผู้ถือหุ้นเดิม เมื่อเพิ่มทุน ตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น (Right Offering : RO)
- เดิมวิธีเพิ่มทุนแบบ RO จะไม่บังคับผู้ลงทุนเดิม เพิ่มทุนหรือไม่ก็ได้
- จึงเกิดปัญหาในการระดมทุน
- ใบแสดงสิทธิ์คล้าย Warrant
- สามารถซื้อขายใน ตลาดหลักทรัพย์
- TSR มีอายุสั้นกว่า Warrant
- TSR อายุไม่เกิน 2 เดือน Warrant อายุ 3 - 5 ปี
- บริษัทออกและ เสนอขาย TSR แก่ผู้ถือหุ้นเดิมเท่านั้น
- ผู้ถือหุ้นเดิม ไม่ต้องการซื้อสามารถขาย TSR ในตลาดหลักทรัพย์ได้
- หลักทรัพย์ที่ออก TSR มักตามด้วย "-T" XXX-T
- หลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย SP แก่ TSR 3 วันก่อนวันเริ่มจองซื้อ

ประโยชน์
- สามารถระดมทุนได้ตามที่เป้าหมายกำหนด
- ขยายฐานผู้ถือหุ้น
- เพิ่มทางเลือกแก่ผู้ถือหุ้นให้มากขึ้น
- เพิ่มสภาพคล่องแก่ตลาดหลักทรัพย์

---------------------------------------------------------------------------------
DR (Depository Receipt)
- ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง
- หลักทรัพย์ให้สิทธิอ้างอิง อาจเป็นหุ้นสามัญ หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ
- ผู้ลงทุนได้รับสิทธิ์ต่าง เหมือนผู้ถือหุ้นบริษัท

---------------------------------------------------------------------------------
หุ้นกู้ (Bonds)
- ตั๋วสัญญาออกโดยผู้กู้ โดยสัญญาจะจ่าย ต้นและดอกเท่าไหร่ ตามวันที่ตลอดอายุหุ้นกู้
- หากบริษัทมีการล้มละลาย จะได้รับเงินชำระคืน

รายละเอียดหุ้นกู้ประกอบด้วย
- ระยะเวลาครบกำหนดไถ่ถอนคืน
- มูลค่า >> มูลค่าเมื่อครบกำหนด
- อัตราดอกเบี้ย

ผลตอบแทน
- ดอกเบี้ยตายตัว ตลอดระยะเวลา
- ดอกเบี้ยกำหนดแบบขั้นบันได
- โดยทั่วไปหุ้นกู้ด้อยสิทธิ จะได้ดอกเบี้ยมากกว่า หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ์
- หุ้นกู้อายุยาวให้ดอกเบี้ยมากกว่าหุ้นกู้อายุสั่น

---------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง
Link1 : https://www.set.or.th/th/products/equities/equities_p1.html
Link2 : https://dict.longdo.com/search/Common%20stock
Link3 : http:// hoondb.com/หุ้นสามัญ/
Link4 : https://pantip.com/topic/33258706
Link5 : http://www.sornhoon.com/d-warrent.aspx
Link6 : https://www.set.or.th/th/products/dw/dw_p1.html
Link7 : http:// www.การเล่นหุ้น.com/หุ้น-dw-คืออะไร/
Link8 : https://pantip.com/topic/31104042
Link9 : https://www.set.or.th/set/education/html.do?name=mutualfund&showTitle=F
Link10 : https://betteroflife.wordpress.com/2012/01/05/หุ้นบุริมสิทธิ/
Link11 : https://th.jobsdb.com/th-th/articles/หุ้นกู้คือ-หุ้นสามัญ
Link12 : https://money.kapook.com/view149888.html